วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คนอ้วนควรดูแลทั้งสุขภาพกายสุขภาพใจ

คนที่มีรูปร่างอ้วนมักจะมีปัญหาทางด้านสุขภาพกาย นอกจากนี้มักจะมีปัญหาทางสุขภาพใจอีกด้วย 

      1. ขาดความมั่นใจ กังวลในรูปร่างของตัวเอง ใส่อะไรก็รู้สึกว่าไม่สวย ไม่ดูดี

      2. เจอคำเยาะเย้ย คำแซวเรื่องรูปร่าง ต่างๆ นานา ที่ในบางครั้ง คุณก็รับไม่ได้แต่ก็ต้องทำเป็นยิ้ม

      3. รูปร่างคือปมด้อยของคุณ ไม่อยากจะไปพบปะใครๆ ไม่อยากส่องกระจก

      4. ซึมเศร้า เกิดอาการเบื่อหน่าย ขี้หงุดหงิด

คนอ้วนควรปรับสภาพจิตใจ และหันมาดูแลตัวเองให้มากขึ้น เลือกรับประทานอาหารที่ไม่ทำให้อ้วน ออกกำลังกาย อย่างน้อยอ้วนแต่ก็มีสุขภาพที่ดี ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ คุณก็จะมีรูปร่างที่ดีขึ้นแน่นอน

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ข้อคิดจากรอยตะปู

มีเด็กคนหนึ่งเปนคน
อารมณ่ไม่ดีบ่อยมาก  ชอบโมโห ชอบโกรธ
วันหนึ่งพ่อให้ตะปู
ไป1ถุงใหญ่ๆ  แล้วบอกลูกว่าถ้าลูก
โมโหหรือโกรธใคร
ให้ตอกตะปูที่รั้วบ้าน  วันนั้นเขาตอกได้
37ตัววันที่2และ3
และแต่ละวันที่ผ่านไปจำนวนตะปูก็ค่อยๆลดลงๆๆเพราะเด็กคนนั้นรุ้สึกว่าตัวเองควบคุม
อารมณ่ได้
ง่ายกว่าการตอกตะปู
ตั้งเยอะ เขาเดินไปหาพ่อบอก
ว่าเขาไม่จำเปนต้อง
ตอกตะปูอีกแล้ว เขาสามารถควบคุม
อารมณ่ได้มากขึ้น
ไม่มุทะลุเหมือน
แต่ก่อน  พ่อยิ้ม
และบอกลูกว่า
ถ้าอย่างนั้นลองพิสุจน่ให้พ่อดู
ทุกๆครั้งที่ลูกควบคุม
อารมณ่ได้ให้ถอนตะปูออกทีละตัว
วันแล้ววันเล่าเขาค่อยถอนออกทีละตัว
จนหมด  เขาบอก
พ่อว่า  ในที่สุด
เขาก็ทำได้สำเรจพ่อ
ได้จูงมือลุกไปที่รั้ว
แล้วพูดว่าเห็นมั้ยว่า
รั้วไม่เหมือนเดิม
มันมีรอยเต็มไปหมด
ลุกจำไว้นะว่า
เมื่อไรที่เราทำอะไร
ลงไปโดยใช้อารมณ่
มันจะเกืดรอยแผล
เหมือนกับเราเอา
มีดกรีดแทงใครเขา
ต่อให้ใช้คำว่า
ขอโทษ สักกี่หนก็
ไม่อาจลบรอยแผล
ที่เจ็บปวดจากเขา
คนนั้นได้  ลูกจง
จำไว้ว่าต้องใช้คำว่า
"ขอโทษ " ไว้เสมอนะ
ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตาม
และจำไว้ว่ารอยร้าว
ที่เกิดขึ้นกับเขา
เขาจะไม่มีวันลืมมันได้
สิ่งสำคัญที่สุดต้อง
"รุ้ทันความโกรธ
อย่าปล่อยให้ความ
โกรธครอบงำ
หยุดเพ่งโทษคนอื่น
แล้วจะลดทิฐิมานะ
ของตัวเองได้"

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่องน่าคิด

1. นักเรียนที่เก่งที่สุด จะไปเป็นผู้เชี่ยวชาญ เช่น วิศวกร หมอ

2.นักเรียนเก่งลำดับ
ที่ 2 จะไปเรียน
การบริหาร การปกครอง แล้วกลับมาเป็นนักปกครอง/นักบริหาร มาคุมกลุ่มที่ 1

3. นักเรียนเก่งลำดับ
ที่ 3 มักจะไปเป็นนักการ
เมือง และเป็นรัฐมนตรี ไปคุมกลุ่มที่ 1 และ 2 

4. พวกล้มเหลว เรียนท้ายห้อง ท้ายแถว เกเร ไปรวมกับพวกใต้ดิน ผิดกฎหมาย สร้างอิทธิพลบารมี และควบคุมกลุ่ม 1,2,3 อีกที

5. กลุ่มเกือบท้ายสุด พวกไม่เรียนหนังสือ ไปเป็นพวกผู้หยั่งรู้ ตั้งตัวเป็นพระเป็นเจ้า เป็นผู้วิเศษ ที่ทุกคนเข้าไปหา ไปกราบไหว้ ฝากตัวเป็นศิษย์

6. กลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มที่อิทธิพลสูงสุด ต่อทุกกลุ่ม มีอำนาจมาก  การศึกษาไม่แน่นอน เก่งบ้าง ไม่เก่งบ้าง แต่ทุกกลุ่ม ทุกคน ต้องยอมสยบแทบเท้า ไม่อยากตอแย หรือต่อรอง กลุ่มนี้เขาเรียก
สั้นๆ ว่า .... "เมีย"

รวมวิธีแก้ปวดหัวไมเกรนอย่างได้ผล

หากอยู่ดีๆใครเกิดมีอาการปวดหัวแบบตึ๊บๆ แบบจี๊ดๆที่หัวข้างใดข้างหนึ่ง หรือบางทีก็ปวดมันทั้ง 2 ข้างเลย ทั้งๆที่เราก็ไม่เคยปวดมาก่อน สันนิษฐานเบื้องต้นได้เลยว่าเรากำลัง "ปวดหัวไมเกรน" อยู่ โดยสาเหตุของการเกิดปวดหัวไมเกรนนั้นไม่แน่ชัด เกิดได้หลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักๆก็คือ เรามักจะปวดหัวเพราะมีสิ่งเร้าต่างๆเข้ามากระตุ้น โดยสิ่งเร้าที่ว่าได้แก่

วิธีแก้ปวดหัวไมเกรน

- นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
- เจอแดดจัดๆ อากาศหนาวจัด หรืออยู่ในที่ที่มีเสียงดังนานๆ
- ความเครียด
- แพ้กลิ่นน้ำหอม กลิ่นสี กลิ่นควันรถ กลิ่นธูป หรือกลิ่นที่เรารู้สึกว่า ฉุนจมูก ได้กลิ่นแล้วปวดหัว
- กินอาหารที่กระตุ้นอาการปวดหัว เช่น กุนเชียง ลูกชิ้นเด้งๆ ช็อคโกแลต กล้วยหอม ชา กาแฟ เหล้าเบียร์ เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ต่างๆ

นอกจากสิ่งเร้าที่ว่ามาแล้ว อาการปวดหัวไมเกรนนั้นยังเป็นอาการที่เกิดจากกรรมพันธุ์ได้อีกด้วย ประมาณว่าถ้าครอบครัวเรามีประวัติเป็นไมเกรนมาก่อน เราก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นด้วยเช่นกัน

ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าว่า เมื่อเราเกิดปวดหัวไมเกรนขึ้นมาแล้ว เราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร ให้อาการปวดหัวจี๊ดๆของเรามันหายไปอย่างรวดเร็วที่สุดด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

1. นวดผ่อนคลายความตึงเครียด

การนวดเป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้ดีและง่ายที่สุด วิธีการนวดให้เรานวดบริเวณขมับ ต้นคอ และช่วงไหล่ โดยนวดไปเรื่อยๆ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายของเราผ่อนคลายลง เส้นเลือดก็จะคลายตึง ไม่หดเกร็ง ทำให้อาการปวดหัวไมเกรนทุเลาลง และถ้าจะให้ได้ผลดีมากขึ้น เราอาจหาพวกน้ำมันหอมระเหย เช่น น้ำมันเขียว น้ำมันการบูร หรือน้ำมันลาเวนเดอร์ มาใส่ในขณะที่เรานวดด้วย มันช่วยได้เยอะเลยล่ะ

2. ปวดมากก็นอนสักหน่อย

วิธีที่ดีไม่แพ้การนวดก็คือ นอนหลับไปเลย การนอนหลับพักผ่อนจะช่วยให้ระบบเส้นเลือดและกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งได้ผ่อนคลายลง ซึ่งสามารถช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีบางครั้งที่เวลาที่เรานอนหลับเราจะรู้สึกหายปวดหัวไปชั่วขณะ แต่พอตื่นนอนมาเรากลับปวดหัวไมเกรนขึ้นมาอีก ถ้าเกิดอาการอย่างนี้ไม่ต้องตกใจ เป็นเรื่องปกติ ถ้าเป็นอย่างนี้เราอาจต้องใช้วิธีอื่นๆช่วยเสริมด้วย เพราะเราเริ่มเป็นหนักแล้วนะ

3. กินยาพาราแก้ปวดหัว


ถ้าเราปวดหัวไมเกรนมากๆ เราก็ควรกินยาพาราเซตามอลเพื่อช่วยลดอาการปวดหัวลง โดยการกินยาพาราที่ดีนั้นควรกินตั้งแต่ที่เราเริ่มรู้สึกมีอาการทันที อย่าปล่อยให้ปวดหัวนานเกิน 30 นาทีแล้วค่อยกิน เพราะมันจะช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนได้น้อยกว่า

4. ประคบด้วยน้ำแข็ง + แช่เท้าในน้ำอุ่น

อีกวิธีที่ช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนได้ดีก็คือ ให้เราไปหาถุงใส่น้ำแข็งมาประคบที่หัวตรงแถวๆที่เราปวด และให้เราแช่เท้าในน้ำอุ่นไปพร้อมกันด้วย โดยแช่นานประมาณ 20 นาที ทำ 2 วิธีนี้คู่กันไป อาการปวดหัวจะลดน้อยลงหรืออาจหายไปเลยก็ได้

5. จิบน้ำขิงแก้ไมเกรน

การดื่มน้ำขิงร้อนๆสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้เป็นอย่างดี โดยน้ำขิงที่ดื่มจะเป็นน้ำขิงที่ต้มเองแบบสดๆ หรือจะเป็นน้ำขิงแบบสำเร็จรูปที่เป็นซองๆก็ได้ ซึ่งมีงานวิจัยออกมาว่าสารที่อยู่ในน้ำขิงสามารถช่วยแก้ปวดหัวไมเกรนได้เป็นอย่างดี ดื่มน้ำขิงร้อนๆอร่อย และสามารถช่วยให้ผ่อนคลายความตึงเครียดไปในตัวได้อีกด้วย

นี่ก็เป็น 5 วิธีแก้อาการปวดหัวไมเกรนแบบง่ายๆที่เอามาฝากกัน หวังว่าคงพอช่วยแก้ปัญหาให้กับคนที่ประสบปัญหาอยู่ได้บ้างนะครับ ไมเกรนนี่เป็นอะไรที่จี๊ดเอามากๆ เป็นทีหนึ่งแทบทำการทำงานอะไรไม่ได้เลย นั่งปวดหัวอย่างเดียวจริงๆ ใครไม่เคยเป็นไม่รู้หรอก ว่ามันทรมานขนาดไหน!!!

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://healthbeautydd.blogspot.com/2014/01/migraine-headache.html

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่องเล่าวันฝนพรำ

ทุกครั้งที่ฝนตก...
เรามักจะได้ยินเสียงแห่งความดีใจ
สลับไปกับเสียงบ่นว่าของคนเสมอ

ชาวนาบอก "ดีใจจัง ฝนตกแล้ว จะได้ทำนาเสียที"
คนทำงานออฟฟิตบ่น "จะตกอะไรกันนักหนา รถก็ติด เปียกก็เปียก กว่าจะถึงที่ทำงาน"

คำชื่นชม คำบ่นว่าอีกมาก ที่ใครหลายๆ คนพูดถึงเวลาฝนตก

ลึกๆ แล้ว ฝนคงรู้สึกน้อยใจที่ทำอะไรก็มีคนติเตียนเช่นนี้
แต่ถึงอย่างนั้น... ฝนก็ยังคงทำหน้าที่ของตนเสมอ
อาจเป็นเพราะเธอคิดถึงคนที่ลำบากกว่า หากขาดเธอไป

หากฝนไม่ตก ชาวนาจะทำนาอย่างไร

หากฝนไม่ตก ต้นไม้ใบหญ้าจะเหี่ยวเฉาแค่ไหน

หากฝนไม่ตก มนุษย์และสัตว์จะเอาน้ำที่ไหนดื่มกิน

ทุกครั้งที่สายฝนพรำ ฝนกำลังพร่ำสอนเราว่า...
เราไม่สามารถทำอะไรให้ทุกคนพอใจได้
ต่อให้ทำดีแค่ไหน ก็ยังมีคนไม่เห็นด้วย
มีคนติเตียนเป็นธรรมดา

แต่จงนึกถึงหน้าที่ นึกถึงสิ่งดีๆ ที่เราทำ
หากมั่นใจว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับคนอื่นแล้ว ก็จงทำมันต่อไป
ทำด้วยหัวใจที่เป็นสุข แม้จะมีคนไม่ชอบ ไม่เห็นด้วยบ้าง
แต่เชื่อเถอะว่า มีคนอีกมากที่ชื่นชม และเห็นค่าในความดีของคุณ

จงทำตัวเหมือน.. ฝน
ที่ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดเสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สรรพคุณและประโยชน์ของขมิ้นชัน 55 ข้อ

ขมิ้นชัน หรือ ขมิ้น เป็นพืชสมุนไพรไทยจำพวกเหง้า ขมิ้น ภาษาอังกฤษ Turmeric) ส่วนขมิ้น ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Curcuma longa Linn. จัดอยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE เช่นเดียวกับขมิ้นอ้อย ขิง ข่า กระชายกระชายดำ กระชายแดง กระวาน กระวานเทศ เร่ว เปราะป่า เปราะหอม ว่านนางคำ และว่านรากราคะ

ขมิ้น เป็นพืชล้มลุกที่จัดอยู่ในตระกูลขิง มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในของเหง้าจะเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวมีตั้งแต่สีเหลืองเข้มจนถึงสีแสดจัด โดยที่ถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีชื่ออื่นๆอีก เช่น ขมิ้นชันขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว ขี้มิ้น หมิ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ภาคและจังหวัดนั่นๆ นิยมนำไปใช้ในการประกอบอาหาร แต่งสี แต่งกลิ่นอาหาร เช่น แกงไตปลา แกงกะหรี่ เป็นต้น

ขมิ้นชันอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียมธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และเกลือแร่ต่างๆ รวมไปถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนเป็นต้น และขมิ้นชันสรรพคุณทางยาที่รักษาอาการและโรคต่างๆได้หลายชนิดซึ่งมีประวัติในการนำมาใช้ในการรักษามากกว่า 5,000 ปี สำหรับขมิ้นชันที่จะนำมาใช้ประโยชน์นั้น การเก็บเกี่ยวไม่ควรเก็บในระยะที่ขมิ้นเริ่มแตกหน่อเพราะจะทำให้สารที่มีประโยชน์อย่างเคอร์คิวมินในขมิ้นมีน้อย ส่วนเหง้าที่เก็บมาต้องมีอายุอย่างน้อย 9-12 เดือน และต้องไม่เก็บไว้นานเกินไป และไม่ให้ถูกแสงแดด เพราะน้ำมันหอมระเหยในขมิ้นจะหมดไปเสียก่อน

เมื่อได้เหง้ามาแล้วหากจะนำไปรับประทานเพื่อใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ควรล้างให้สะอาดก่อน และไม่ต้องปอกเปลือก แต่หั่นเป็นแว่นชิ้นบางๆ แล้วนำไปตากแดดสัก 2 วันแล้วนำมาบดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็ดเม็ดเล็กๆเท่าปลายนิ้วก้อย แล้วนำมารับประทานวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2-3 เม็ดหลังอาการและช่วงก่อนนอน หรือจะนำเหง้าแก่มาขูดเอาเปลือกออกแล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาดนำมาบดให้ละเอียด เติมน้ำแล้วคั้นเอาแต่น้ำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะวันละ 3 ครั้ง หากนำขมิ้นมาใช้เป็นยาทาภายนอก เพื่อรักษาอาการแพ้ ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย ให้นำเหง้าขมิ้นมาฝนผสมกับน้ำต้มสุก แล้วทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 ครั้ง หรือจะนำเอาผงขมิ้นมาโรยก็ใช้ได้เช่นกัน

วิธีกินขมิ้นชัน
มีการศึกษาพบว่า การรับประทานขมิ้นตามเวลาที่อวัยวะต่างๆกำลังทำงาน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของขมิ้นให้มากขึ้น โดยวิธีกินขมิ้นชันควรรับประทานขมิ้นชันตามเวลาต่อไปนี้ตามการรักษา

• เวลา 03.00-05.00 น. ช่วงเวลาของปอด หากรับประทานช่วงเวลานี้จะช่วยในการบำรุงปอดช่วยให้ปอดแข็งแรง ช่วยป้องกันการเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวหนัง และช่วยเรื่องภูมิแพ้หายใจไม่สะดวก
• เวลา 05.00-07.00 น. ช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ช่วยแก้ปัญหาลำไส้ใหญ่ สำหรับผู้ที่ขับถ่ายไม่เป็นเวลาหรือรับประทานยาถ่ายมานาน หากรับประทานขมิ้นในช่วงนี้จะช่วยฟื้นฟูปลายประสาทของลำไส้ใหญ่ให้บีบรัดตัวเพื่อช่วยให้ขับถ่ายได้อย่างเป็นปกติ ช่วยแก้ปัญหาลำไส้ใหญ่ขับถ่ายน้อยหรือมากจนเกินไป และช่วยป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวารและมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย หากรับประทานพร้อมกับโยเกิร์ต น้ำผึ้ง นมสด มะนาวหรือน้ำอุ่น จะช่วยชะล้างผนังลำไส้ให้สะอาดได้
• เวลา 07.00-09.00 น. ช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร จะช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง และยังช่วยแก้อาการปวดเข่า, ขาตึง, บำรุงสมองป้องกันโรคความจำเสื่อมได้อีกด้วย จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหารที่เกิดจากการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา และยังลดอาการท้องอืด จุกแน่น, ปวดเข่า, ขาตึง, ช่วยบำรุงสมองและป้องกันความจำเสื่อมได้
• เวลา 09.00-11.00 น. ช่วงเวลาของม้าม ช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลบริเวณปาก บรรเทาอาการของโรคเบาหวาน โรคเกาต์ การอ้วนเกินไปหรือผอมเกินไป
• เวลา 11.00-13.00 น. ช่วงเวลาของหัวใจ ช่วยบำรุงหัวใจให้มีสุขภาพแข็งแรง
• เวลา 15.00-17.00 น. ช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ ช่วยบำรุงหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้อาการตกขาว และการทำให้เหงื่อออกในช่วงเวลานี้จะช่วยทำให้ร่างกายขับสารพิษออกไปจากร่างกายได้มาก
• เวลา 17.00 น. จนถึงเวลาเข้านอน การรับประทานขมิ้นในช่วงนี้จะช่วยทำให้ความจำดีขึ้น เมื่อตื่นนอนจะไม่อ่อนเพลีย การขับถ่ายก็จะดีขึ้นด้วย
การหาซื้อขมิ้นมารับประทานเองไม่ว่าจะเป็นแบบผงหรือแบบแคปซูล ควรจะซื้อจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน มีความสะอาดปลอดสารเคมีไม่มีสารสเตรียรอยด์ปลอมปน และในกระบวนการผลิตนั้นต้องไม่ผ่านความร้อนเกิน 65 องศา เพื่อคงคุณภาพของขมิ้น ใส่ใจกันสักนิดเพราะบางคนซื้อมารับประทานเองทุกวัน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย

สรรพคุณของขมิ้น
1. สรรพคุณของขมิ้นข้อแรกคือมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยในการชะลอวัยและชะลอการเกิดริ้วรอย
2. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
3. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวหนังมีสุขภาพดีแข็งแรง
4. ขมิ้นชันอาจมีบทบาทช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง เช่น โรคมะเล็งลำไส้ มะเร็งปากมดลูก
5. ขมิ้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้
6. ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย
7. ช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวาน
8. มีส่วนช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
9. ช่วยลดอาการของโรคเกาต์
10. ช่วยขับน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร
11. ช่วยรักษาระบบทางเดินหายใจที่มีอาการผิดปกติ
12. ช่วยบำรุงสมองป้องกันโรคความจำเสื่อม
13. อาจมะส่วนช่วยในการรักษาโรครูมาตอยด์ (ยังไม่ได้รับการยืนยัน)
14. ช่วยลดการอักเสบ
15. ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ
16. ช่วยรักษาอาการแพ้และไข้หวัด
17. ช่วยบรรเทาอาการไอ
18. ช่วยรักษาอาการภูมิแพ้หายใจไม่สะดวก ให้มีอาการดีขึ้น
19. ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
20. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในเม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยธาลัสซีเมียฮีโมโกบิลอี
21. ช่วยรักษาแผลที่ปาก
22. ช่วยบำรุงปอดให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง
23. น้ำมันหอมระเหยในขมิ้นมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง
24. ช่วยรักษาอาการท้องเสีย อุจจาระร่วง โดยนำผงขมิ้นชันผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนแล้วนำมารับประทานครั้งละ 3 เม็ด 3 เวลา
25. ช่วยแก้อาการจุดเสียดแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
26. ช่วยรักษาโรคลำไส้อักเสบ
27. ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้
28. ช่วยรักษาอาการลำไส้ใหญ่บวม
29. ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร
30. ช่วยในการขับลม
31. ช่วยบรรเทาอาการนิ่วในถุงน้ำดี
32. มีฤทธิ์ในการช่วยขับน้ำดี
33. ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร และทำความสะอาดลำไส้
34. ช่วยบำรุงตับ ป้องกันตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ และป้องกันตับจากการถูกทำลายของยาพาราเซตามอล
35. ช่วยบำรุงหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง
36. ช่วยป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร
37. ช่วยแก้อาการตกเลือด ด้วยการนำขมิ้นสดมาตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาน้ำมาผสมกับน้ำปูนใสแล้วรับประทาน
38. ช่วยแก้อาการตกขาว
39. ช่วยรักษาอาการปวดหรืออักเสบเนื่องจากไขข้ออักเสบ
40. ช่วยแก้อาการน้ำเหลืองเสีย
41. ช่วยแก้ผื่นคันตามร่างกาย
42. ช่วยรักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคัน
43. ช่วยรักษากลาก เกลื้อน ด้วยการใช้ผงขมิ้นผสมกับน้ำ นำมาทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนทุกวัน วันละ 2 ครั้ง
44. ช่วยรักษาโรคผิวหนังพุพอง ตุ่มหนองให้หายเร็วยิ่งขึ้น
45. ช่วยรักษาแผลจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการนำขมิ้นมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วตำจนละเอียดคั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณดังกล่าว
46. มีฤทธิ์ในการต่อต้านและฆ่าเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง และต่อต้านยีสต์ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ
47. ช่วยต่อต้านปรสิต หรือเชื้ออะมีบาที่เป็นต้นเหตุของโรคบิดได้
48. ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคท้องเสีย แบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง เป็นต้น
49. มีฤทธิ์ในการต่อต้านการกลายพันธุ์ และต้านสารก่อมะเร็งทีมีความเกี่ยวข้องกับโรคที่เกิดจากการเสื่อมของร่างกาย และโรคเบาหวาน
50. ช่วยสมานแผลตามร่างกายให้หายเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการนำผงขมิ้นมาผสมกับน้ำแล้วทาลงบนบาดแผล และยังช่วยให้บาดแผลไม่ติดเชื้อของกระต่ายและหนูขาวได้ และสามารถเร่งให้แผลที่ติดเชื่อหายได้
51. ขมิ้นยังมีสรรพคุณช่วยในการป้องกันการงอกของขนอีกด้วย โดยผู้หญิงชาวอินเดียมักนำขมิ้นมาทาผิวเพื่อป้องกันไม่ให้ขนงอก
52. ขมิ้นชันขัดผิว ใช้ทำทรีทเม้นท์พอกผิวขัดผิวด้วยขมิ้นช่วยให้ผิวพรรณนุ่มนวล ขาวผ่องใส เต่งตึง ด้วยการนำขมิ้นสดมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปปั่นรวมกับดินสอพอง 2-3 เม็ด แล้วผสมกับมะนาว 1 ลูก ปั่นจนเข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าหรือผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
53. ขมิ้นเป็นส่วนประกอบของทรีทเม้นท์รักษาสิวเสี้ยน สิวผด สิวอุดตัน
54. ขมิ้นเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งในเครื่องสำอางบำรุงผิวต่างๆ
55. นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืชได้อีกด้วย

ขมิ้นชันผลข้างเคียง
การรับประทานขมิ้นเพื่อการรักษาโรคใดๆก็ตาม ถ้าหากเรารู้ว่าเราเป็นโรคอะไร หากรับประทานไปเรื่อยๆ จนโรคนั้นหายไปแล้ว ก็ควรหยุดรับประทาน ถึงแม้ขมิ้นจะมีประโยชน์ก็จริงแต่หากร่างกายได้รับมากเกินความต้องการอาจจะกลายเป็นโทษเสียเอง ขมิ้นชันผลข้างเคียงคืออาการแพ้ เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดหัว นอนไม่หลับ ดังนั้นหากคุณรับประทานขมิ้นแล้วมีอาการดังกล่าวควรหยุดรับประทานและหายาชนิดอื่นรับประทานแทน และยังมีความเชื่อว่าขมิ้นชัน โทษและข้อเสียของขมิ้นในแถบภาคใต้ว่าการรับประทานขมิ้นที่มากเกินไปและถี่เกินไปนั้นแทนที่จะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง แต่อาจจะเป็นมะเร็งเสียเอง
อย่างไรก็ตามก็คุณควรสังเกตอาการของตัวคุณเองด้วย เนื่องจากอาการท้องเสียนั้นเป็นอาการข้างเคียงทั่วไป อาจมีสาเหตุมาจากยาชนิดอื่นหรือจากภาวะของโรคที่เป็นอยู่แล้วร่วมด้วยก็เป็นได้ ดังนั้นคุณควรสังเกตอาการของตัวคุณเองด้วยว่าเดิมกินยาอื่นแล้วไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ แต่เพิ่งมามีปัญหาเมื่อตอนรับประทานขมิ้นร่วมด้วย ก็ควรสงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นผลข้างเคียงของขมิ้นก็ได้ แต่ทั้งนี้ถ้าคิดว่าเป็นผลข้างเคียงของขมิ้น คุณก็อาจจะรับประทานขมิ้นต่อไปได้ ด้วยการรับประทานซ้ำด้วยการค่อยๆปรับขนาดยา จาก 1 เม็ด เป็น 2 เม็ดต่อครั้ง แล้วดื่มน้ำตามมากๆ ก็อาจจะทำให้รับประทานขมิ้นต่อไปได้
การรับประทานอย่างพอประมาณและเหมาะสม ทานอาหารครบ 5 หมู่ งดพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค คือสิ่งที่ถูกต้อง บางสิ่งบางอย่างถึงแม้มันจะมีประโยชน์มากก็จริงแต่ถ้ามันมากเกินไปมันก็จะเป็นโทษกับตัวเราได้ จึงไม่ควรหลงละโมภ และทานอย่างไร้สติ

ผิวสวยด้วยขมิ้น
1.สูตร ขมิ้นสด (ช่วยให้ผิวเรียบเนียน รักษาสิวอุดตัน สิวอักเสบ)
• ผิวสวยด้วยขมิ้นสูตรแรก ให้นำขมิ้นมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
• เสร็จแล้วนำมาปั่นด้วยเครื่องปั่น แล้วนำมาใส่กระปุกแช่ในตู้เย็นให้ครบ 1 อาทิตย์
• ใช้คอตตอนบัดปั่นหูจิ้มน้ำขมิ้นแล้วนำมาทาหน้าก่อนล้างหน้า 15 นาที
• ควรใช้ตอนเย็นหรือก่อนนอน เพราะอาจทำให้หน้าเหลือง ต้องล้างประมาณ 2 ครั้งถึงจะออกหมด
2.สูตร ขมิ้นสด / ดินสอพอง / มะนาว (ช่วยให้ผิวหน้าผ่องใสเนียนเรียบ อ่อนเยาว์ สิวยุบเร็ว)
• เตรียมวัตถุดิบดังนี้ ขมิ้นสดเล็กน้อย / ดินสอพอง 3 เม็ด / น้ำมะนาว 1 ผล
• นำขมิ้นมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
• นำขมิ้นที่หั่นแล้วนำมาปั่นรวมกับดินสอพองและน้ำมะนาวจนละเอียดเนเนื้อเดียวกัน
• จะได้เนื้อครีมเข้มข้นแล้ว ล้างหน้าให้สะอาดแล้วนำครีมที่ได้มาพอกทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก
• ควรทำเป็นประจำและสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งจะช่วยให้เห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น
3.สูตร ผงขมิ้น / น้ำมะนาว (ช่วยให้หน้าเนียนใส ช่วยลดอาการบวมแดงจากสิว ช่วยลดสิวและช่วยให้สิวยุบเร็ว)
• นำผงขมิ้นมาผสมกับน้ำมะนาวพอข้น
• นำมาแต้มบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนหรือจะพอกทั่วใบหน้าก็ได้
• ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาทีแล้วล้างออก (หรือจนกว่าจะรู้สึกว่าแสบก็ให้ล้างออกได้เลย)
4.สูตร ผงขมิ้น / น้ำนม (บำรุงผิวหน้าให้ผ่องใส อ่อนเยาว์ รักษาสิวเสี้ยน กระชับรูขุมขน รักษาแผล

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

ผัก ผลไม้ 5 สี ดีมีประโยชน์

          จากงานวิจัย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่า ชายไทยร้อยละ 80 กินผักผลไม้เพียง 268 กรัม/คน/วัน และหญิงไทยร้อยละ 76 กินผักผลไม้เพียง 276 กรัม/คน/วัน ซึ่งตัวเลขนี้ห่างจากมาตรฐานที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 400-500 กรัม/คน/วัน พอสมควรทีเดียว 

          และจากจุดนี้นี่เองที่ทำให้เราป่วยเป็นโรคง่าย เพราะได้รับคุณค่าของสารอาหารไม่เพียงพอ และอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว การไม่กินผักทำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ตามมาอย่างมากมาย อาทิ ท้องผูก ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา อาจมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจ  

          ทั้งหมดจึงเป็นสาเหตุที่เราจำเป็นจะต้องหันมากินผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้รับไฟโตนิวเทรียนท์ที่มากพอ และการที่จะได้รับอย่างมากพอนั้น ก็ไม่ควรกินผัก ผลไม้เพียงแค่ชนิดเดียว ควรกินให้ครบ 5 สี ทั้ง แดง เหลือง เขียว ม่วง ขาว เพราะแต่ละชนิดให้คุณค่าของสารอาหารไฟโตนิวเทรียนท์ที่แตกต่างกันไป 

          อย่างในผัก ผลไม้สีแดงที่เห็นคุณประโยชน์เด่นชัดเลยก็คือ มะเขือเทศ ทับทิม อะเซโรล่าเชอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ หรือแม้กระทั่งลูกแอปเปิ้ลแดงก็ตาม ในผัก ผลไม้สีแดงนี้จะมีสารไลโคปิน กรดเอลลาจิก แอนโธไซยานิน และกรดแกลลิก ที่ช่วยทำให้ระบบการทำงานของต่อมลูกหมากดีขึ้น ทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิดอีกด้วย 

          สำหรับผัก ผลไม้ สีเหลืองส้ม จะช่วยในเรื่องของผิว เพราะมีเบต้าแคโรทีนอยู่จำนวนมาก เช่น แครอต ฟักทอง ข้าวโพด ใครที่กินผัก ผลไม้ประเภทนี้มาก ๆ ผิวจะกลายเป็นสีเหลือง นั่นเป็นเพราะสารเบต้าแคโรทีนไปสะสมอยู่ตรงบริเวณผิวหนัง ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ง่าย ๆ ยิ่งถ้าใครมีค่าเบต้าแคโรทีนสูง ๆ ก็ยิ่งมีค่าความเสี่ยงลดลง ดังนั้นหากใครกลัวว่าผิวจะเป็นสีเหลืองเพราะกินเบต้าแคโรทีนมากไป คงต้องหันไปกลัวว่าความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังจะเพิ่มมากขึ้นแทนดีกว่า 

          ผัก ผลไม้สีเหลืองยังมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอล และยังมีคำแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าด้วยว่าลองกินมะละกอห่าม ๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานถึง 2 ปี มีสิทธิ์ทำให้สีผิวหน้าที่เป็นฝ้าลดลงได้ รวมทั้งข้าวโพดเหลือง ๆ ที่ช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรตินาของดวงตาได้อีกด้วย 

          ต่อจากแดง เหลือง ก็มาถึงผักสีเขียวที่แทบจะเรียกได้ว่ามีมากที่สุดในบรรดาผัก ผลไม้ต่าง ๆ เช่น บร็อคโคลี่ คะน้า กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง กวางตุ้ง โหระพา กะเพรา สะระแหน่ และวอเตอร์เครส โดยในผักสีเขียวจะอุดมไปด้วยสารไอโซไธโอไซยาเนท ลูทีน ซีแซนทีน แคททิชิน สารอาหารเหล่านี้จะเข้าไปมีส่วนช่วยทำให้เซลล์สามารถทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังสนับสนุนการทำงานของปอด หลอดเลือดแดง และตับอีกด้วย  

          ผัก ผลไม้สีขาวอย่างกระเทียม หอมใหญ่ เห็ด กะหล่ำดอก ผักกาดขาว ดอกแค และมะขามเปราะ ก็มีสารอาหารที่ช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแรงเช่นกัน โดยในกระเทียมมีอัลลิซิน เควอซิทิน ที่ช่วยดูแลในเรื่องของกระดูก และทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายดี ดอกแคก็มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคหวัดได้ และยังมีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยให้ผิวสวยอีกต่างหาก 

          สำหรับผัก ผลไม้สีสุดท้ายนั่นก็คือ สีม่วง น้ำเงิน เป็นกลุ่มที่มีสารแอนโทไซยานินที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ สามารถพบได้ง่าย ๆ ในกะหล่ำปลีสีม่วง มะเขือม่วง หรือบลูเบอร์รี่ก็ได้เช่นกัน นอกจากนั้นแล้วสารแอนโทไซยานินยังมีส่วนในการช่วยขยายหลอดเลือดทำให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและอัมพาตลดลงได้เช่นกัน 

          ในการกินผักผลไม้นั้น นอกจากจะได้รับสารไฟโตนิวเทรียนท์อย่างครบถ้วนแล้ว ยังได้ในเรื่องของกากใยเพื่อช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายอีกด้วย นอกจากนี้ผักผลไม้ยังมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูร่างกายให้หายจากอาการบาดเจ็บได้เร็วขึ้นอีกด้วย ลองเริ่มใส่ใจในการกินผักผลไม้ 5 สีตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพของเราที่ดีในวันข้างหน้ากันเถอะครับ

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิธีเก็บไข่ให้ได้นานที่สุด โดยไม่ต้องง้อตู้เย็น

เจ๋งมากๆ วิธีเก็บไข่ให้ได้นานที่สุด โดยไม่ต้องง้อตู้เย็น


ไข่ไก่เมื่อซื้อมาจากตลาดวิธีเก็บที่ดีที่สุดและได้นานที่สุดคือการเก็บไว้ในตู้เย็น แต่หากบ้านไหนไม่มีตู้เย็นหรือบางท่านที่อยู่ห้องพักหละ จะมีวิธีไหนที่จะสามารถเก็บไข่ไว้นานขึ้นได้บ้าง

วันนี้นิตยสารเกษตรกรก้าวหน้า มีวิธียืดอายุไข่ได้โดยไม่ต้องง้อตู้เย็นมาฝากกันค่ะ

สิ่งที่ต้องเตรียม 

ไข่

น้ำมันพืช

วิธีจัดการ
เพียงหยดน้ำมันพืชลงบนฝามือเล็กน้อย ถูให้ทั่วมือ จากนั้นนำไข่มาลงบนฝามือ ให้น้ำมันพืชเคลือบให้ทั่วไข่ นำไปใส่ในตะกร้าเก็บไข่ เพียงเท่านี้ก็ยืดอายุไข่ได้นานขึ้นแล้วค่ะ

การนำน้ำมันมาเคลือบจะช่วยป้องกันออกซิเจนเข้าสู่ไข่ ทำให้ไข่สามารถเก็บไว้ได้นาน 10-12 เดือนโดยไม่ต้องใส่ไว้ในตู้เย็นค่ะ

อ้างอิง... นิตยสารเกษตรกรก้าวหน้า / ฟาร์มวัวบ้านห้วย Huay Ranch

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สุขกับทุกข์

ถ้ารวยแล้วมีความสุข
คงไม่มีคนร่ำรวยแล้วเป็นทุกข์
หากจนแล้วมีความทุกข์
คงไม่มีคนยากจนที่เปี่ยมสุข

สุขกับทุกข์เป็นเหรียญเดียวกันที่มีสองด้าน
โชคชะตาเหมือนการหมุนเหรียญ
ชอบหัวออกก้อยก็เป็นทุกข์
อยากได้ก้อยออกแต่หัวก็ไม่มีความสุข

สุขทุกข์แท้จริงแล้วอยู่ที่ใจ
ใจที่เข้าไปจัดการกับสิ่งต่างๆรอบตัว
วางใจเป็นกลางไม่ว่าเหรียญจะหมุนมาด้านไหน

จะทุกข์หรือสุขก็อยู่ร่วมกันได้
เวลาทุกข์ก็ไม่ทรมานมาก
เวลาสุขก็ไม่ล้นเกิน

ชีวิตคนเรา 
ยิ่งเรียบง่ายยิ่งมีความสุข

เพราะความสุขนั้น 
เป็นพี่น้องกับความเรียบง่าย

จงอยู่อย่างคนธรรมดา 
แต่ใช้ปัญญาอย่างนักปราชญ์

ใช้ชีวิตอย่างธรรมดา
ให้มากที่สุด 

หากเรารู้จักยอม รู้จักหยุด รู้จักเย็น 
ชีวิตจะราบรื่นขึ้นมาก

คนขับรถของลีกาชิง

คนขับรถของ "หลี่เจียเฉิง" หรือ ชื่อที่รู้จักในแวดวงธุรกิจทั่วโลกว่า ลีกาชิง ขับรถให้เขามากว่า 30 ปี และจะขอลาออก "หลี่" เห็นว่าเขาทำงานด้วยความตั้งใจ และสัตย์ซื่อ จึงจ่ายเช็คจำนวน 2 ล้าน ให้เขา เพื่อใช้ในชีวิตบั้นปลาย 

คนขับรถบอกว่า ไม่ต้องหรอก เงิน 10-20 ล้าน ท่านได้สอนวิธีทำเงินให้ผมมาแล้ว และผมก็สามารถหาได้ 

"หลี่" ประหลาดใจมาก จึงถามว่า คุณทำงานเงินเดือนๆ ละ 2 หมื่น ทำไมจึงมีเงินสะสมมากมายเช่นนี้ 

คนขับรถตอบว่า ขณะที่ผมขับรถให้ท่าน ท่านนั่งอยู่ด้านหลัง โทรศัพท์พูดคุยกับผู้อื่นว่า ซื้อที่ดินย่านไหน ผมก็ทำตามท่าน ไปซื้อไว้บ้างเล็กน้อย ท่านพูดว่า จะไปซื้อหุ้นตัวไหน ผมก็ทำตามท่าน ไปซื้อบ้างนิดหน่อย จนถึงวันนี้ ผมจึงพอมีทรัพย์สินอยู่จำนวนหนึ่ง 10 ล้าน 20 ล้านนี่แหละครับ

"คุณจะเป็นใครไม่สำคัญ แต่คุณอยู่กับใคร เรียนรู้กับใคร นั่นต่างหากที่สำคัญกว่า"

อยู่กับล้าน จะได้ล้าน
อยู่กับสิบล้าน จะได้สิบล้าน 
อยู่กับร้อยล้าน จะได้ร้อยล้าน

ฟางข้าวต้นหนึ่ง ไม่มีค่า
เมื่อใช้มัด ผักกาดขาว 
นั่นคือ ราคาของผักกาดขาว 
แต่เมื่อใช้มัด ตัวปูใหญ่ 
ก็จะเป็น ราคาของปูใหญ่

ตามแมลงวัน ก็จะใกล้ห้องสุขา 
ตามผึ้ง ก็จะหาน้ำหวานจากดอกไม้ 
อยู่กับคนที่คิดลบ ชีวิตคุณก็จะติดลบขาดทุน
อยู่กับคนที่คิดบวก ชีวิตจะได้กำไรบวกเพิ่ม
อยู่กับคนดีคุณก็จะมีความคิดที่ดี

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อาหารที่กินแล้วฟื้นฟูร่างกาย

อาหาร 7 ชนิด กินแล้วฟื้นฟูร่างกาย ช่วยทำความสะอาดเลือดได้อย่างดี!

1.กระเทียม ต้านมะเร็งได้ และยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือด ช่วยป้องกันการเกิดเส้นเลือดอุดตันอีกด้วย

2.ลูกเดือย ช่วยในเรื่องการลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยระบบการเผาผลาญ มีสรรพคุณทางด้านขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำ และมีแคลลอรี่ต่ำ ไม่ทำ ให้อ้วน และยังช่วยเรื่องการขับถ่าย ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย

3.ถั่วเหลือง ช่วยป้องกันการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด ซึ่งกรดไขมันไม่อิ่มตัวในเหลืองสามารถช่วยลด ระดับคอเลสเตอรอลได้ดี

4.ถั่วเขียว ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินอี เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยรักษาและสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์ผิวหนัง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และยังช่วยปกป้อง ผิวจากความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะอีกด้วย

5.มะเขือเทศ ผลมะเขือเทศ ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด รักษาโรคความดันโลหิตสูง และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ

6.ข้าวโอ๊ต ช่วยป้องกันโรคหัวใจ และยังช่วยลดคอเลสเตอรอล อุดุมไปด้วยวิตามิน E และช่วยในการลดความเข้มข้นของคอเลสเตอรอล

7.บร็อคโคลี่ เป็นผักที่มีแคลเซียมสูง เหมาะกับผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง และยังช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ และวิธีการเก็บวิตามิน แร่ธาตุหลาก หลายในบร็อคโคลี่ให้ยังคงอยู่ คือเลือกใช้วิธีการเด็ดผัก ไม่ควรใช้วิธีการหั่น และไม่หลีกเลี่ยงการต้มผักเป็นเวลานาน

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

"น้ำมันหมู” น้ำมันจากธรรมชาติสรรพคุณชั้นเยี่ยม

เรียกได้ว่าเป็นของดีที่ถูกมองข้าม กับ "น้ำมันหมู" ที่เป็นน้ำมันจากธรรมชาติแท้ๆ สรรพคุณชั้นเยี่ยม ที่ถูกเข้าใจผิดมาอย่างยาวนาน


"น้ำมันหมู"ของดีรุ่นคุณตาคุณยาย  ที่ถูกใครๆหลงลืม หรือเข้าใจผิดมานาน  ตอนนี้กำลังกลับมาได้รับความสนใจ ของผู้บริโภคในการนำมาประกอบอาหารอีกครั้ง

จนทำให้ขณะนี้ “คนรุ่นใหม่”ที่ชอบทำอาหาร ก็หันมาเลือกใช้น้ำมันหมู มาใช้ประกอบอาหารแทนน้ำมันพืชกันมากขึ้น เพราะตอนนี้มีข้อมูลมากมายที่ออกมายืนยันว่า"น้ำมันหมู"ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอย่างที่หลายคนเข้าใจกันผิดๆ

"น้ำมันหมู" เป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติแท้ๆ ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลดี (HDL) แถมทนต่อความร้อน จึงไม่เปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นตัวร้ายก่อมะเร็งและโรคหัวใจ

แม้แต่สื่อต่างประเทศอย่าง"เดอะวอชิงตัน โพสต์"  ตีพิมพ์บทความ Lard may not be as bad for your health as the fat’s detractors say ระบุว่า น้ำมันหมูเป็นไขมันดี  และอย่างน้อยก็ไม่เลวร้ายเท่าไขมันทรานซ์ในมาการีนหรือน้ำมันพืช ซึ่งไขมันทรานซ์นี่แหละที่ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ  และ มะเร็ง  ซึ่งล่าสุดสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ ( เอฟดีเอ) ได้ประกาศห้ามใช้ไขมันทรานส์ เป็นส่วนผสมการผลิตอาหารเพื่อมนุษย์รับประทานแล้ว

ขณะที่ “Linda Prout” นักโภชนาการชาวสหรัฐอเมริกา เจ้าของเว็บไซต์ด้านสุขภาพ www.lindaprout.com ก็ได้เขียนบทความ Pork and Lard: How To Choose Healthy Versions  ระบุว่า“น้ำมันหมู นอกจากจะไม่ใช่สิ่งเลวร้ายแล้ว  ยังถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่จะมาใช้ปรุงอาหารแทนน้ำมันพืชและเนย เนื่องจากน้ำมันหมูมีstearic acid ซี่งเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว ที่ช่วยลดการดูดซึมคลอเลสเตอรอล และลดระดับคลอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) ที่ทำให้เลือดไม่เหนียวข้น

สำหรับหลายคนอาจยังกังขาว่า"น้ำมันหมู"ทำจากสัตว์จะดีกว่าน้ำมันที่ทำจากพืชได้อย่างไร
สามารถอธิบายเหตุผลง่ายๆได้ว่าเพราะ"น้ำมันหมู"  เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติโดยตรง โดยใช้กระบวนการเจียวด้วยความร้อนเท่านั้น จึงปราศจากกระบวนการผลิตทางเคมี     ทั้งให้ความหอมสำหรับการปรุงอาหารได้ดีกว่า แตกต่างจากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีทั้งกลั่น   ฟอกสี   และแต่งกลิ่น   และเมื่อนำมาปรุงอาหารจะเกิดการแตกตัวเป็นสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายได้

จากข้อมูลยืนยันเรื่องความดีของ”น้ำมันหมู”  จึงทำให้กระแสตอบรับการนำ “น้ำมันหมู” มาประกอบอาหารกำลังกลับมาอย่างรวดเร็ว  เพราะในแง่ของความอร่อยสำหรับคนรุ่นตายายหรือรุ่นพ่อแม่ต่างรู้ดีว่า “น้ำมันหมู”มีความหอมเหมาะกับการปรุงอาหารในสไตล์คนไทยมากกว่าน้ำมันพืช  

แต่ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันชนิดไหน เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย ก็ควรรับประทานน้ำมันแต่เพียงพอดี และออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่า

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

ความรักที่ให้ออกไป ความรักก็จะย้อนกลับคืนมา

กาลครั้งหนึ่ง มีขอทานคนหนึ่งออกขอทานทุกวัน เขาอยากจะมีชีวิตเหมือนคนปกติ เพราะฉะนั้น เขาจึงมักจะขอทานเสบียงกรังและตุนไว้ แต่ว่าเขากักตุนเสบียงมาหลายปี ยุ้งฉางของเขาก็มีเพียงข้าวสารนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจค้นหาสาเหตุ

คืนวันหนึ่ง เขาแอบอยู่มุมหนึ่งของบ้านและจ้องไปที่เสบียง ในที่สุด เขาเห็นหนูตัวใหญ่มาขโมยกินเสบียงของเขา เขาโกรธมาก ตะโกนไปที่เจ้าหนูว่า "บ้านคนรวยมีอาหารเยอะแยะ แกทำไมไม่ไปกินทำไมเจาะจงมากินอาหารข้าที่กักตุนมาด้วยความลำบาก" เจ้าหนูพูดขึ้นว่า "ชะตาของเจ้ามีข้าวสารได้แค่8ส่วน เดินให้ทั่วหล้า ก็ไม่สามารถมีข้าวได้ครบถัง" ขอทานถามเจ้าหนู "ทำไมเป็นเช่นนั้น" เจ้าหนูตอบว่า "ข้าก็ไม่รู้ เจ้าไปถามพระพุทธองค์สิ

ขอทานจึงตัดสินใจ เดินทางไปทางทิศตะวันตกเพื่อถามพระพุทธองค์ ว่าเหตุผลอันใดถึงมีชะตาชีวิตเช่นนี้

เจ้าขอทานก็ออกเดินทาง เขาขอทานระหว่างทาง เดินทางไปไกลมาก วันหนึ่ง เขาเดินจนฟ้ามืดถึงจะพบบ้านคนหลังหนึ่ง รีบไปเคาะประตู มีพ่อบ้านเดินออกมาถามว่ามีเรื่องอะไร เขาบอกขอข้าวกินหน่อย พอดีเศรษฐีเจ้าของบ้านออกมาเห็นเข้า เลยถามขอทานว่า มืดอย่างนี้แล้วทำไมยังเดินทางอยู่อีก ขอทานจึงเล่าชะตาชีวิตให้เศรษฐีฟัง
บอกว่าจะไปถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ เศรษฐีได้ยินดังนั้น รีบเชิญขอทานเข้าไปนั่งในบ้าน ให้เสบียงกรังและเงินกับเขาจำนวนหนึ่ง ขอทานถามว่าทำไมทำเช่นนั้น เศรษฐีจึงเล่าเหตุผลให้ฟังว่า ลูกสาวข้าอายุ16แล้ว ยังพูดไม่ได้ ขอร้องให้เจ้าช่วยถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ด้วย
เศรษฐีเคยสาบานว่าใครก็ตามที่ทำให้ลูกสาวพูดได้ เขาก็จะให้ลูกสาวแต่งงานกับคนนั้น ขอทานได้ฟังเช่นนั้น คิดว่าไหนๆก็จะไปหาพระพุทธองค์อยู่แล้ว เราก็ถือโอกาสช่วยถามให้เขาก็ได้ ขอทานจึงรับปากจะถามให้


ขอทานเดินทางต่อไปผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เดินถึงเขาลูกหนึ่ง เห็นวัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ก็เลยเข้าไปขอน้ำดื่ม เห็นพระแก่รูปหนึ่งถือไม้เท้าดีบุก ท่าทางแก่มาก แต่ดูกระฉับกระเฉง พระชราให้น้ำเขาดื่มและบอกให้เขาพักผ่อนสักครู่ แล้วถามเขาว่าจะไปไหน ขอทานบอกจุดหมายที่จะไป พระชรารีบจับมือขอทานไว้และพูดว่า ขอร้องเจ้าต้องช่วยถามพระพุทธองค์ให้หน่อย ข้าเข้าฌานฝึกฝนมา 500 กว่าปีแล้ว ตามหลักควรจะขึ้นสวรรค์แล้ว ทำไมยังบินขึ้นไปไม่ได้ ขอทานก็เลยรับปากพระชรา

เดินไปข้างหน้า ผ่านหนทางทั้งห้วยหนองคลองบึง ขอทานมาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง ในแม่น้ำไม่มีเรือสักลำ ขอทานร้อนรนใจ จะทำอย่างไรดี จะข้ามไปยังไง ขอทานร้องไห้และพูดว่า หรือว่าชีวิตข้าจะต้องลำบากเช่นนี้หรือ ทันใดนั้น เต่ายักษ์แก่ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นเหนือน้ำ เต่าแก่พูดภาษาคนได้ ถามขอทานว่ามาร้องไห้ที่นี่ทำไม ขอทานเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เต่าแก่พูดกับเขาว่า ข้าได้เข้าฌานปฏิบัติตนมา 1000 ปีแล้ว ตามหลักน่าจะกลายเป็นมังกรบินไปแล้ว ทำไมยังเป็นแค่เต่าแก่ๆตัวหนึ่ง ถ้าเจ้าไปพบพระพุทธองค์ช่วยถามให้ข้าด้วย ข้าจะให้เจ้าขี่ข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม ขอทานรับปากด้วยความดีใจ

ขอทานเดินไปจำไม่ได้ว่าอีกกี่วัน แต่ก็หาพระพุทธองค์ไม่เจอ คิดในใจว่าพระพุทธองค์อยู่ไหนนะ แดนสุขาวดีน่าจะถึงแล้ว ขอทานเสียใจมาก เลยผลอยหลับไปแบบงุนงง

ทันใดนั้นพระพุทธองค์ปรากฏองค์ขึ้น ขอทานดีใจมาก พระพุทธองค์ถามขอทานว่า เจ้ามาไกลขนาดนี้ น่าจะมีคำถามอะไรที่สำคัญมากใช่ไหม ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะถามคำถามหลายคำถาม หวังว่าท่านจะอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจได้ พระพุทธองค์ตอบว่า ได้สิ แต่มีเงื่อนไขหนึ่งนะเจ้าถามได้สูงสุดแค่ 3 คำถามเท่านั้น เพราะว่าไม่เคยมีใครถามเกิน 3 คำถามมาก่อน ขอทานตอบตกลง คิดในใจว่า ข้าจะถามคำถามไหนดีขอทานรู้สึกว่าคำถามของตนเองช่างไม่มีความสำคัญเลย

เต่าแก่เข้าฌานมา1000ปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย คำถามเขาน่าจะลองถามดู

พระชราปฏิบัติมา500ปี ก็ลำบากมาก คำถามเขาก็น่าจะถามดู

ลูกสาวเศรษฐีช่างน่าสงสารนัก พูดไม่ได้แล้วจะแต่งงานได้ยังไง

คำถามของเขาก็น่าจะถามดู และแล้วขอทานจึงไม่ลังเลที่จะถามคำถามที่1

พระพุทธองค์ตอบเขาว่า เต่าแก่ไม่ยอมสละกระดองของมัน ก็เลยไม่สามารถกลายเป็นมังกรได้ ในกระดองของเต่ามีไข่มุกราตรีอยู่24เม็ด ถ้ามันยอมสละกระดอง มันก็จะกลายเป็นมังกรได้

คำถามที่2 ท่านตอบว่า พระชราถือไม้เท้าวิเศษทั้งวัน ในใจพะวงแต่ไม้เท้าว่าเป็นของวิเศษ ใช้ไม้เท้าเคาะบนพื้น1ที บนพื้นก็จะกลายเป็นธารน้ำใส ถ้าหากพระชรายอมโยนไม้เท้าทิ้ง เขาก็จะขึ้นสวรรค์ได้แล้ว

ขอทานดีใจมาก จึงถามคำถามที่3 ท่านตอบว่า ถ้าเด็กสาวได้พบคนที่เธอรัก เธอก็จะพูดได้เอง และทันใดนั้นพระพุทธองค์ก็หายไป?

ขอทานรู้สึกว่า ปัญหาของตัวเองไม่มีอะไรสำคัญ กลับไปขอทานตามเดิมดีกว่า แล้วจึงรีบเดินทางกลับ ขอทานกลับมาถึงริมแม่น้ำ เต่าแก่คำนวนว่าขอทานน่าจะมาถึงแล้ว จึงรีบถามว่าพระพุทธองค์ตรัสว่ายังไง ขอทานพูดว่า เจ้าพาข้าข้ามแม่น้ำไปก่อน ข้าจะเล่าให้ฟัง เต่าพาขอทานข้ามแม่น้ำไป ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง เต่าฟังแล้วเข้าใจทันที จึงถอดกระดองออกยกให้ขอทานและพูดว่า ในนี้มีไข่มุกราตรี24เม็ด เป็นของที่หาค่ามิได้ สำหรับข้าไม่มีประโยชน์แล้ว ข้าขอยกให้เจ้า เต่าแก่จึงกลายเป็นมังกร บินหายไป

ขอทานเอาไข่มุกราตรี24เม็ด รีบเดินทางกลับมาถึงบนเขาพบกับพระชรา พระชรารีบถามว่าพระพุทธองค์ท่านตรัสว่าอย่างไร ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง พระชราได้ฟังดีใจมาก จึงมอบไม้เท้าวิเศษให้แก่ขอทาน พระชราจึงขี่เมฆบินขึ้นท้องฟ้าหายไป

ขอทานเดินทางมาถึงหน้าบ้านเศรษฐี ทันใดนั้น มีหญิงสาววิ่งออกมาและตะโกนเสียงดังว่า คนที่ไปถามพระพุทธองค์กลับมาแล้ว เศรษฐีก็วิ่งออกมา เขาตกใจมากที่อยู่ๆลูกสาวเขาพูดได้ ขอทานถ่ายทอดคำตรัสพระพุทธองค์ เศรษฐีดีใจมาก จึงให้ลูกสาวแต่งงานกับขอทาน

ความรักที่ให้ออกไป ความรักก็จะย้อนกลับคืนมา

ความสุขที่ให้ออกไป ความสุขก็จะย้อนกลับคืนมา

คิดเผื่อคนอื่น ย่อมจะต้องมีคนคิดถึงคุณ

นี่คือเหตุและผล นี่คือกฏเกณฑ์

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

สู้ต่อมั้ยลูก?

นนท์ลูกพ่อ
แม่เค้าเล่าให้พ่อฟังว่าลูกเบื่องานที่กำลังทำอยู่ แต่พ่ออยากให้ลูกลองอดทนทำดูสักช่วงดีไหมลูก พ่อว่านนท์จะได้อะไรมากมายจากการทำงานที่นี่ อย่างน้อยก็คือประสบการณ์ที่ไม่ต้องซื้อหามาด้วยเงิน เพียงแค่ลูกใช้สมอง พละกำลัง และแนวทางที่ลูกได้ร่ำเรียนมา พ่อเชื่อ มันจะมีประโยชน์กับลูกในอนาคต
แต่หากลูกคิดว่าไหมไหวจริงๆ ลูกอยากจะออกมาทำธุรกิจเล็กๆ พ่อก็สนับสนุนนะ ประสบการณ์ของที่นี่จะทำให้เมื่อวันหนึ่งลูกเป็นเจ้าของกิจการ ลูกจะได้เข้าใจทั้งจุดยืนของลูกจ้างและนายจ้างได้

พ่ออยากจะแนะนำลูกอย่างนี้นะ 
1. คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดของคนเราไม่ใช่ใครอื่น นั่นคือความขี้เกียจ!
2. การทำอะไรสักอย่างหนึ่งไม่ใช่เรื่องยาก ยากตรงที่ต้องยืนหยัด ยืนหยัดเพียงชั่วครู่ชั่วยามนั้นไม่ยาก ยากตรงยืนหยัดให้ถึงที่สุด!
3. หากลูกรู้สึกเหนื่อย ลูกต้องพยายามเดินต่อ เพราะทางเดินที่เหนื่อยนั้น เป็นทางเดินขึ้นสู่ที่สูง
4. จำไว้นะลูก ช่วงที่ลำบากที่สุด คือช่วงที่ใกล้ความสำเร็จที่สุด
5. การที่ลูกเลือกหนีปัญหา ไม่แน่เสมอไปว่าลูกจะหนีพ้น การที่ลูกเผชิญหน้ากับปัญหา ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย ทุ่มเทนะลูก วันพรุ่งนี้คือวันที่สวยงาม
6. อย่าเอาแต่หลบฝนอยู่ในบ้าน ออกมาตวงน้ำฝนใส่โอ่งใส่ตุ่มไว้ใช้บ้างก็ดี ต่อให้เปียกฝนมอมแมม นั่นก็คือความสุขชนิดหนึ่ง จำไว้นะ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกไม่มีบังเอิญ เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็อยู่กับมันอย่างเข้าใจและเป็นสุข
7. อย่าไปหวังพึ่งแต่ดวง โชคลาภหากเราไม่ได้สร้างมา ใช้เล่ห์กลเรียกยังไงมันก็ไม่มีทางอยู่กับเราได้ อิงความสามารถของตนเองดีกว่านะลูก
8. หากลูกตั้งใจและได้ทุ่มเทแล้ว จึงมีคุณสมบัติพูดว่าดวงไม่ดี หากยังไม่ทุ่มเท อย่าเอาแต่โทษดวง
9. ต่อให้ลูกอยากได้เงินทองมากสักเพียงใด ขอให้ลูกจำไว้ โคตรเหง้าเราไม่เคยโกงใครกิน เกียรติภูมินี้ พ่ออยากให้ลูกรักษาไว้ และบอกต่อให้ลูกหลานในอนาคต

จำไว้นะลูก ไม่มีใครโชคดีโดยไม่ลงแรง ความโชคดีเกิดจากความตั้งใจ เพราะตั้งใจความโชคดีจึงมาเยือน
พ่อเชื่อว่านนท์ทำได้ เพราะในตัวของนนท์มีเลือดของพ่ออยู่ครึ่งหนึ่ง
พ่อ.

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

เราเป็นอย่างไร...เราได้อย่างนั้น

ใครไม่เคยเป็นหนี้ย่อมไม่รู้หรอกว่า
การตกนรกทั้งเป็นนั่นให้ความรู้สึกอย่างไร
บางคนตัดสินใจชั่ววูบ ฆ่าตัวตายก็มี
บางคนตัดสินใจผิดพลาดลงหุบเหวนรก
บางคนก็ไม่ทำอะไรเลยยอมรับชะตากรรม(ยอมพ่ายแพ้)
บางคนหันหน้าสู้......
คุณจะเลือกเป็นใคร

ฆ่าตัวตายมีให้เห็นมากมาย มีทั้งสาปแช่ง กร่นด่าตามหลัง พ่อแม่พี่น้องไม่นับญาติ ตัดสินใจพลาด สู้แบบไม่คิด เอาง่าย ไว เฉพาะหน้า  กู้เงินมาโปะหนี้ ขายตัว ทำงานแบบรวยไว ค้ายา ปล้นจี้  ชิงทรัพย์ ลืมคิดไปว่า  มีเหตุย่อมมีผลเสมอ 

กู้เงินมาโปะดอกเบี้ยมากขึ้น ของเก่ายังเอาไม่รอด ของใหม่มันจะรอดได้อย่างไร  .ค้ายา ปล้น จี้ ชิงทรัพย์ ทำผิดกฎหมาย  ก็ต้องรับผลของกฎหมาย...ขายตัว (ใช้ได้ทั้งชายและหญิง)  ความคิดเหล่านี้ล้วนเป็นความคิดชั่ววูบ ที่ผุดโผล่ขึ้นมาในดวงจิตแต่สติและสามัญสำนึกจะคอยตักเตือน และยับยั้งเสมอ  (โปรดฟังคำเตือนจากส่วนลึกในใจคุณ)

เมื่อฉันเป็นหนี้สติคอยเตือนฉันทุกย่างก้าวความรู้สึกกดดันทรมานเราตลอดเวลา คนดูถูก ตกต่ำ ไม่มีคนยอมรับ เจ็บปวด เสียใจ ผิดหวัง อยากกินเหล้าเมาสุราให้ลืมเสีย

สติบอก....อย่าทำ เงินหายาก งานหายาก ถ้าไม่มีสติพร้อมทำงานจะเอาแรงที่ไหนมาหาเงิน...หยุดเดี๋ยวนี้!!ทางออกมันผุดขึ้นมาทุกทางทั้งเลวและดี  แล้วแต่คุณจะเลือกทางใด.... 

คุณคือ คนกำหนดชะตาชีวิตคุณทั้งสิ้น ฉันเลือกไปตั้งสติในวัด เพราะเงียบ สงบ เจ้าหนี้ตามไม่ถูก ไม่มีคนรังควานความคิด สมุด ปากกาพร้อม รอคอยความคิดดีๆที่จะโผล่ขึ้นมา


แต่ในความเป็นจริง  ไอ้ความคิดดีๆๆน่ะ มันไม่โผล่ขึ้นมาหรอกน่ะ
ความคิดยุ่งเหยิงวกวนแต่คำว่า........
""" ทำยังไงดี...ทำยังไงดี""""
เมื่อได้นั่งสนทนาธรรมกับหลวงพ่อในวัด
"" โยมบุญโยมหมดแล้ว """
สติมาปัญญาเกิด ไปนั่งหลบมุมแล้วตีโจทย์ข้อนี้ให้แตก  บุญก็ไม่เคยสร้าง บาปก็ไม่เคยทำจริงหรือ????

บุญน่ะไม่สร้างเพิ่ม...จริง
บาปน่ะไม่เคยทำ......ไม่จริง
ใช่ไม่ผิดศีลห้าข้อจริง
แต่บาปบางอย่างเราก็ทำโดยไม่ยั้งคิด  เราใช้บุญเก่าตลอดเวลา
อะไรล่ะ...^^^อะไรหนอ...^^^^^

ไม่เคยตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เลย เถียงคำไม่ตกฟาก พ่อแม่สอนสั่ง โกรธเคือง ตอบแทนด้วยวาจาก้าวร้าว  ตอบแทนด้วยการกระทำให้ท่านร้องให้  ช้ำใจ เสียใจ ทุกข์ใจ  กล่าวหาว่าท่านรักลูกไม่เท่ากัน ทั้งๆในความเป็นจริง ท่านรักลูกทุกคนมากเท่าชีวิต แต่เลี้ยงดูไม่เหมือนกัน ตามลักษณะนิสัยต่างหากเล่า   เราเองต่างหากที่ไม่พิจารณาตนเอง..  บาปนี้หนักหนายิ่งกว่าใดๆอีก

เทวทัตจาบจ้วงพระพุทธเจ้า โทษนั่นหนักยิ่ง เรานั้นก็เช่นเดียวกันกรรมที่เกิดล้วนเกิดจากตัวเองทั้งสิ้น เมื่อคิดได้และได้คิด  ชีวิตก็เห็นทางสว่าง เสมือนแสงสว่างที่ปลายทางส่องชี้นำ ให้เห็นทางที่เราจะก้าวต่อไปในอนาคต

ธรรมส่องทางให้ฉัน แล้วฉันก็จะจัดการแก้ไขทุกอย่างด้วยความมุมานะ อดทน ไม่มีข้ออ้างในการรีรอ ไม่มีเงิน...ไม่มีเวลา...ไม่มีความพร้อม ไม่กล้าสู้หน้าพ่อแม่...กลัว..ฉันตัดสินใจทำทันที แม้ใจใจจะกลัวๆกล้าๆ  ไปกราบขอขมาพ่อ ปลดทุกข์ออกจากใจ....

พ่ออวยพร..ให้ฉันประสบความสำเร็จนับเป็นสิ่งยิ่งใหญ่เหลือคณนา และตั้งแต่วันนั้นฉันทำทุกอย่าง ที่จะตอบแทนบุพการีผู้ให้ชีวิตให้ความสุข ให้การดูแล ไม่ทำให้ช้ำใจ  เสียใจ ปรนนิบัติตอบแทนเต็มกำลัง

ถ้าคุณมีลูก  คุณเลี้ยงลูก  ทะนุถนอมลูกแค่ไหน  ทำกับพ่อแม่ให้ได้เท่านั้น....ทำได้มั้ย

นับตั้งแต่วันนั้น คิดทำสิ่งใดไม่มีอุปสรรค จะไปแห่งหนใดก็มีแต่คนโอบอุ้ม หยิบจับสิ่งใดได้เงินได้ทอง

สามปีให้หลังฉันหมดหนี้สิน   ชีวิตพบเจอแต่สิ่งดีๆ  ที่ไหลเข้าในชีวิตเหมือนสายน้ำ  เจอเนื้อคู่.....คู่ดี  ทำธุรกิจก็รุ่งเรือง

คุณล่ะ...ถ้าคุณยังติดขัด  มีอุปสรรคมากมายในชีวิต....ทำกิจการงานใดก็ล้มเหลว...เจอคู่ครองก็ผิดหวัง    เงินทองก็ขาดๆหายๆๆ
อย่ามองที่คนอื่น...ให้มองเข้าไปที่ใจ  ตัวตนของเรา  มองให้ลึกอย่างเป็นธรรม  เราเป็อย่างไร...เราได้อย่างนั้น

FORWARD LINE
Credit : Ramet Tanawangsri
ภาพ : https://i.ytimg.com
บทความคุณภาพจากเพจ "เรื่องดีๆมีข้อคิด

สัจธรรมของความยิ่งใหญ่

สัจธรรมของความยิ่งใหญ่ มี 5 อย่าง คือ
1.ไม่มีมิตรสหายใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า ความรู้
2.ไม่มีศัตรูใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า ความเจ็บไข้ได้ป่วย
3.ไม่มีความรักใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า ความรักของพ่อแม่
4.ไม่มีอำนาจใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า กฏแห่งกรรม
5.ไม่มีคุณงามความดี ใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า ความกตัญญู-กตเวทิตา
*5อย่างนี้  ถ้าเข้าใจและนำไปปฏบัติ ผู้นั้นจะมีแต่ ความสุข ความเจริญ*
ขออนุญาตส่งกลับมาให้ด้วยนะ
คนเราที่เจอกัน...ไม่ใช่เรื่อง "บังเอิญ"
 อยู่ที่ "บุญ" ที่เคยร่วม ทำกันมา
เมื่อมีวาสนา ...
ไม่ต้องเรียกร้อง...ถึงเวลาก็มาเจอกัน
เมื่อสิ้นวาสนา... 
ก็ต้องจากกันไป...รั้งอย่างไรก็ไม่อยู่ 
ดังนั้น..... 
ในตอนที่เรา...ยังไม่จากกัน 
เราได้กระทำดีต่อคนที่แวดล้อมเราแล้วหรือยัง...
เพราะเมื่อหมด  "สัญญากรรม" แล้ว...
ไม่ว่าเราจะมีเงินหรือ มีอำนาจจนล้นฟ้า 
ก็ไม่สามารถเรียกร้อง กลับคืนมาได้... 
และไม่รู้ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ....ถึงจะได้เจอกันอีก                                          
ส่งให้คนที่คุณรักและเพื่อนที่ดีของคุณ

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

จดหมาย 3 ฉบับจากเบื้องบน

หนุ่มนายหนึ่ง
ขึ้นสวรรค์เข้า
เฝ้าเบื้องบน เขารู้สึกน้อยใจ จึงตัดพ้อว่า “ไม่เห็นบอกกล่าว
ล่วงหน้า ก็เรียกมาขึ้นสวรรค์ ไม่ได้เตรียมการ
อะไรเลย หลายเรื่องยังไม่ได้สะสาง

เบื้องบนตอบว่า “เราบอกล่วงหน้าแล้วนะ ส่งจดหมายไป 3 ฉบับ เธอไม่ได้รับหรือ ?”

หนุ่ม “เปล่าครับ ผมไม่ได้รับ”

เบื้องบน(บน) “เธอรู้สึกเหนื่อย ง่วงนอน ไม่มีชีวิตชีวาบ้าง
หรือเปล่า ?”

หนุ่ม “อ้อ นี่ก็คือจดหมายเหรอครับ ผมได้รับครับ”

เบื้องบน “เธอรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกายหรือไม่ ?”

หนุ่ม “ครับ ผมได้รับครับ”

เบื้องบน “เธอรู้สึกเวียนหัว ปวดหัว สายตาพร่ามัวหรือไม่ ?”

หนุ่ม “ ใช่ครับ นี่หรือครับที่เป็นจดหมาย 3 ฉบับของท่าน”

เบื้องบน “ถูกต้องแล้ว เราก็บอกเธอล่วงหน้า แตเธอไม่สนใจเอง”

เด็กหนุ่มจนแต้ม ก็เลยขอร้องเบื้องบนว่า “ขอเวลาผม
สักหน่อย ให้ผมกลับไป
สะสางเรื่องต่าง ๆ ท่านจะเอา
เท่าไหร่ก็ได้”

เบื้องบนชู 1 นิ้ว 

คนหนุ่ม “ 1 หมื่น ? ไม่มีปัญหา ผมถวายให้ได้เดี่ยวนี้”
เบื้องบนสั่นหัว 

คนหนุ่ม “ งั้น 1 แสน ?”
เบื้องบนสั่นหัวอีก 

คนหนุ่ม “ งั้น 1 ล้าน ?”
เบื้องบนสั่นหัวอีก 

คนหนุ่ม “ ท่านต้องการเท่าไหร่กันแน่ครับ ?”

เบื้องบนตอบว่า 
“1 บาท”
 
หนุ่ม ได้ยินดีใจมาก “1 บาท ง่ายมาก ผมจะถวายให้เดี๋ยวนี้เลยครับ”

แต่เขาค้นหากระเป๋ากางเกง กระเป๋าเสื้อ ก็หาไม่ได้สักกะบาท

เบื้องบน(บน)
“นี่แหละคือชีวิต เงินทอง เกิดไม่เอามา ตายไม่เอาไป ตอนมีชีวิตอยู่ ให้รักษาสุขภาพ ไม่งั้นตอนล้มลง ถึงจะเห็นจดหมาย 3 ฉบับของเบื้องบน (บน) ก็สายเกินไปแล้ว”

เบื้องบนเตือนเรา
เสมอ แต่เราไม่สนใจ เราก็ยังเที่ยวดึก กินเหล้า สูบบุหรี่ บ้างาน 
ไม่ล้มไม่หยุด 

ชีวิตคนเรา ไม่จำเป็นต้อง
โด่งดังแบบ
สนั่นหวั่นไหว
สะเทือนวงการ มีความสุขก็พอ

มิตรภาพ
ไม่จำเป็นต้อง
งอกงาม
เพราะคำหวาน คิดถึงก็พอ

เงินทองไม่ต้อง
มหาศาล พอใช้ก็พอ

เพื่อนฝูงไม่จำเป็น
ต้องมีทั่วแผ่นดิน มีเพื่อนที่ดีก็พอ

อย่าเอาแต่ทำ
ให้คนอื่น 
ดูแลร่างกายตัวเอง
ให้ดี 
รับผิดชอบต่อ
สุขภาพของตัวเอง 

ในโลกนี้ไม่มี
อะไร
เป็นของคุณตลอด
ไป ยกเว้น
ร่างกายคุณ

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

โรคไม่รู้จักความลำบาก

เตือนพ่อ แม่ !! “โรคไม่รู้จักความลำบาก” ถึงเวลาพ่อแม่ต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก…อ่านจบอย่าเก็บไว้คนเดียว

“ โรคไม่รู้จักความลำบาก”  ถึงเวลาพ่อแม่ต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก

เคยสงสัยมั๊ย ว่าทำไม เด็กสมัยนี้ ไม่ค่อยอดทนกับสิ่งใด เลย แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยในชีวิต ทุกวันนี้เราเห็นเด็กถือแต่สมาร์ทโฟน ไอแพดไว้เล่นเกม  ครอบครัวเองก็เลี้ยงลูกตามใจ  จึงทำให้เด็กไทยมีโรคใหม่ติดตัวที่ชื่อว่า “โรคไม่รู้จักความลำบาก”

บทความจาก FB Basic-Skill for young children  พูดถึง “โรคไม่รู้จักความลำบาก”  เป็นโรคใหม่ที่เกิดขึ้นสำหรับเด็ก ๆ และจะกลายเป็นปัญหาต่อการเติบโต หากพ่อแม่ไม่ได้เลือกสร้างภูมิคุ้มกันของความลำบากให้ลูก  ไม่เลือกให้ลูกได้ออกไปพบเจอโลกของความจริงที่ว่า ชีวิตแม้ว่าจะรวยหรือจนก็ไม่มีใครสบายได้ตลอดไป ต้องมีความลำบาก ความทุกข์ เกิดขึ้นปะปนกัน โดย

สาเหตุที่เด็กถึงเป็นโรคไม่รู้จักความลำบาก
1.มีเทคโนโลยีครอบงำ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันอย่างการใช้สมาร์ทโฟน แทปเล็ต ได้กลายมาเป็นสื่อที่มีบทบาทกับเด็ก ๆ ตั้งแต่ตัวเล็กในยุคดิจิตอล และมีอิทธิพลมากขึ้นกว่าในสมัยก่อน ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบ หลายราคาที่จับต้องได้ ทำให้พ่อแม่ยุคใหม่หยิบยื่นให้ลูกใช้ง่าย ๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร และไม่พยายามปฏิเสธหรือเบี่ยงเบนความสนใจให้ลูกไปทำกิจกรรมอย่างอื่น

2.อยากให้ลูกสบายเป็นผลทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว
การมีพี่เลี้ยงไว้คอยดูแลลูกน้อย เพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่อันเหนื่อยหนักของพ่อแม่ โดยไม่ยอมสอนลูกให้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง จนลูกไม่สามารถทำอะไรเป็นได้ เมื่อเติบโตขึ้นในสังคม เช่น เริ่มต้นเข้าโรงเรียนก็จะกลายเป็นภาระให้กับบุคคลรอบข้างที่ต้องคอยช่วยเหลือ

3.ปกป้องลูกมากเกินไป
เพราะความกังวลเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับลูกรัก จึงไม่หาโอกาสพาลูกออกไปเปิดประสบการณ์ต่อโลกภายนอก และจำกัดที่ทางให้ลูกอยู่ภายใน comfort zone ยอมให้ลูกนั่งดูทีวี เปิดยูทูป เล่นเกมในไอแพด ซึ่งเป็นการปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้กับสังคมภายนอก และไม่รู้จักกับการแยกแยะความแตกต่างระหว่างคนดีกับคนไม่ดี ขาดการสังเกตและเรียนรู้

4.ไม่ยอมปล่อยให้ลูกลำบาก เพราะพ่อแม่เคยลำบากมาก่อน
เพราะไม่อยากให้ลูกมีชีวิตเหมือนที่ตนเองเคยเป็นมาก่อน พอฐานะดีขึ้นจึงส่งเสริมและเลี้ยงลูกด้วยวัตถุ เงินทอง ฯลฯ เหล่านี้จะทำให้เด็กกลายเป็นคนขาดความอดทน ไม่มีความมั่นคงในจิตใจ อ่อนแอ และแข็งกระด้าง

5.การใช้ชีวิตติดรูปแบบจากอิทธิพลของสื่อ
ด้วยเทคโนโลยีที่เข้าถึงอย่างรวดเร็ว และมีการนำเสนอรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดูสวยหรูผ่านสื่อทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ หรือสื่อออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ มีการโชว์และแชร์ถ่ายภาพ อวดของหรู ชูของสวย ด้วยอิทธิพลของสื่อเองและการเลี้ยงลูกแบบตามใจมาก่อน ทำให้เด็กเกิดความอยากได้อยากมีตามกระแสสังคม
ดังนั้น การเลือกสอนให้ลูกรู้จักกับความลำบาก ฝึกลูกให้มีหน้าที่รับผิดชอบ รู้การแบ่งปัน การให้ และเรียนรู้ หรือพยายามทำด้วยตัวเองได้ตั้งแต่เด็กย่อมเป็นสิ่งที่

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วิธีปฐมพยาบาลถ้าแมลงเข้าหู

ควรรู้ไว้! วิธีปฐมพยาบาลง่ายๆ ถ้าแมลงเข้าไปในหูคุณ

เคยเป็นกันไหม นอนเล่นอยู่ดีๆ ก็มีแมลงอะไรไม่รู้มาเข้าหูของเรา ซึ่งหลายๆคนคงตกใจเอามากๆ ในวินาทีฉุกเฉินแบบนั้น หลายๆคนอาจจะยังคิดว่าออกว่าต้องทำไงดี เพราะหากปฐมพยาบาลไม่ถูกต้อง อาจเกิดอันตรายมากกว่าเดิมก็ได้
วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับมาฝากกัน ว่าหากแมลงเข้าหู!! ควรทำอย่างไร วิธีปฐมพยาบาลง่าย ๆ ยามฉุกเฉิน

แมลงเข้าหู! ควรทำอย่างไร วิธีปฐมพยาบาลง่ายๆ ยามฉุกเฉิน

แมลงเข้าหูอันตรายไหม ต้องทำอย่างไร มาดูวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นง่าย ๆ ที่คุณทำได้เพื่อความปลอดภัย

หู เป็นอวัยวะที่หน้าที่หลายอย่างในเวลาเดียวกัน ทั้งรับคลื่นเสียงที่มาจากภายนอกและแปลงเป็นสัญญาณส่งต่อไปยังสมอง อีกทั้งยังช่วยควบคุมการทรงตัวในขณะที่ร่างกายเคลื่อนไหว ซึ่งถ้าหากมีอะไรแปลกปลอมเข้าไปในหูก็อาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและเกิดการทำงานที่ผิดปกติ เช่น เสียการทรงตัว หรือหูอื้อ โดยเฉพาะเจ้าแมลงตัวเล็กตัวน้อยที่หากเข้าไปในหูก็อาจจะนำเอาเชื้อโรคเข้าไปด้วย ทำให้เกิดติดเชื้อตามมาในภายหลัง วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปเรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นในกรณีที่มีแมลงเข้าหู เพื่อที่จะได้รับมือได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินค่ะ

แมลงเข้าหู อันตรายไหม ?


การที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในหูสามารถทำให้เกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะแมลง เพราะแมลงที่อาจจะนำเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคหูอักเสบหรือเชื้อราในช่องหู ยิ่งถ้าหากเป็นเห็บและหมัดสุนัขก็จะยิ่งอันตรายเพิ่มขึ้น เพราะน้ำลายของหมัดจะก่อให้เกิดอาการคันอย่างมาก ส่วนเห็บก็มีเชื้อแบคทีเรียที่เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

แมลงเข้าหู อาการเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร ?

เมื่อมีแมลงเข้าไปในหูแล้ว อาการที่สังเกตได้ชัดก็คือจะเกิดอาการปวดหูอย่างเฉียบพลัน และจะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในหู ถ้าแมลงยังไม่ตายก็จะรู้สึกเหมือนมีอะไรเดินหรือบินอยู่ในหู ทำให้เกิดความรำคาญได้ ทั้งนี้หากเป็นแมลงตัวใหญ่ก็อาจจะทำให้รู้สึกแน่น ๆ ภายในหู หรือทำให้หูตึงไปชั่วขณะ

แมลงเข้าหู ปฐมพยาบาลอย่างไร

แมลงที่สามารถเข้าไปในหูได้นั้น มีหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นแมลงตัวเล็ก ๆ อย่างเช่น มด ยุง แมลงหวี่ แมงเม่า แมลงวัน เห็บ หมัด หรือแม้แต่แมลงตัวใหญ่ อย่างเช่น แมลงสาบ  เป็นต้น ซึ่งวิธีแก้ไขปัญหาแมลงเข้าหูมีดังนี้ หากมีแมลงเข้าไปในหู ควรรีบเอียงศีรษะข้างที่แมลงเข้าไปในหูขึ้น แล้วใช้เบบี้ออยล์ น้ำมันมะกอก น้ำมันพืช หรือยาหยอดหู ค่อย ๆ หยอดลงไปในหู โดยดึงใบหูไปด้านหลังเพื่อให้รูหูอยู่ในแนวตรง เพื่อให้แมลงสามารถหนีขึ้นหรือลอยขึ้นมาได้ จากนั้นอยู่ในท่านั้นประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้แมลงที่เข้าไปในหูตายและลอยขึ้นมาเอง ทั้งนี้หากแมลงเข้าไปในหูแล้วมีอาการเจ็บภายในหู ไม่ควรหยอดน้ำมันใด ๆ ลงไป เพราะอาจจะทำให้อาการยิ่งรุนแรงขึ้น อีกทั้งยังไม่ควรใช้นิ้วมือหรือสิ่งของลงไปแคะหรือเขี่ย เพราะอาจจะทำให้แมลงยิ่งลงไปลึกกว่าเดิมและอาจเป็นอันตรายต่อแก้วหู และหูชั้นกลางได้

อย่างไรก็ตาม หากแมลงที่เข้าหูเป็นแมลงตัวเล็ก อย่างเช่น แมงเม่า แมลงหวี่ หรือยุง ถ้ายังไม่ตายก็สามารถใช้วิธีใช้ล่อให้ออกมาได้ โดยนำไฟฉายส่องเข้าไปในหูสักพักหนึ่ง แต่วิธีนี้จะต้องทำในที่ที่มืดสนิทและไม่มีแสงเข้าเท่านั้น  ทั้งนี้หากทำตามวิธีข้างต้นแล้วแมลงยังไม่ออกมา หรือมีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่น เช่น อาการปวดหูอย่างรุนแรง มีเลือดหรือน้ำไหลออกมาจากหู หูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงก็ควรรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหูคอจมูกในทันที อย่าทิ้งไว้นาน เพราะอาจเกิดการติดเชื้อจนทำให้อาการร้ายแรงขึ้น

แมลงเข้าหู ป้องกันได้

ส่วนในเรื่องของวิธีป้องกัน วิธีที่ดีที่สุดก็คือหลีกเลี่ยงจากบริเวณที่มีแมลงชุกชุม แต่ถ้าหากต้องอยู่บริเวณที่มีแมลงชุกชุมเป็นเวลานานก็ควรที่จะสวมที่ครอบหู หรือใส่ที่อุดหู หากไม่มีจะใช้สำลีอุดแทนก็ได้เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงเข้าหู นอกจากนี้ยังไม่ควรให้สุนัขหรือสัตว์เลี้ยงขึ้นมานอนบนที่นอน เพราะอาจจะทำให้เห็บและหมัดตกอยู่บนที่นอนและเข้าหูได้

ปัญหาเรื่องแมลงเข้าหูเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังและอยู่ห่างจากแหล่งที่มีแมลงอยู่เป็นจำนวนมากจะดีที่สุด และควรหมั่นทำความสะอาดหูอยู่เสมอ เพราะหูที่สกปรกก็สามารถดึงดูดแมลงได้เช่นกันค่ะ

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

สุรากับภรรยา ใครน่ารักกว่ากัน

สำหรับผู้ชาย บางครั้งการที่จะให้เลือกระหว่างสุรากับภรรยา อาจะบอกได้ยาก 
ว่าอย่างไหนดีกว่ากัน แต่ 15 เหตุผลต่อไปนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกได้ดีขึ้น 

1.สุราไม่เคยช้อปปิ้ง และไม่จำเป็นต้องให้เงินใช้ 

2.เป็นการง่ายที่คุณจะคบกับสุรานานาชาติ โดยไม่ต้องมีปัญหาเรื่องภาษา ไม่ว่า
   จะเป็นเหล้ามะกัน ไวน์ฝรั่งเศส สาเกยุ่น เหมาไถจีน.. แต่การจะหาภรรยานานา
   ชาติ อาจเป็นเรื่องที่ต้องพยายามกันเป็นปี ๆ

3.สุราร้อนทำให้เย็นได้ด้วยการจับยัดตู้เย็น เสียค่าไฟสิบบาท แต่เมื่อภรรยาอารมณ์
   ร้อน กว่าเธอจะเย็นขึ้นมาได้ คุณอาจต้องเสียเงินซื้อดอกไม้ช่อละหลายร้อย
   น้ำหอมขวดละหลายพัน หรือค่าโทรศัพท์อีกนับนาทีไม่ทัน

4.คุณสามารถเปลี่ยนขวดที่กอดอยู่ข้างๆ ได้บ่อยเท่าที่ต้องการ แต่ถ้าจะเปลี่ยนคน
   ที่คุณนอนกอดข้างๆ.. เอ้อ.... ได้ตื้บแน่!!

5.คุณนั่งดูถ่ายทอดฟุตบอลคู่กับสุราได้นานเท่าที่ต้องการ

6.สุราไม่เคยสั่งให้คุณไปซักผ้า ล้างรถ ตัดหญ้าสนาม ถูบ้าน ซ่อมห้องน้ำ
   ปูกระเบื้อง ปะหลังคารั่ว ย้ายชั้นวางของ ตอกตะปูแขวนรูปในห้องรับแขก

7.สุราเปลี่ยนนิสัยคุณแค่ชั่วคราวหลังดื่ม แต่ภรรยาพยายามเปลี่ยนนิสัยคุณแบบ
   ถาวรด้วยกำลัง

8.คุณสามารถนอนเกาก้นและเรอดัง ๆ กับสุราได้โดยไม่ถูกบ่นว่าหรือมองตาเขียวบบ

9.คุณสามารถหาซื้อสุราได้ง่ายและบ่อย เท่าที่กระเป๋าคุณเต็มใจ แต่มักไม่สามารถ
   หาภรรยาได้ในราคาเต็มใจกระเป๋า แถมเปลี่ยนไม่ได้ง่าย ๆ เสียด้วย

10.สุราไม่เคยแย่งกับแกล้มคุณกิน และเข้ากับเพื่อนร่วมวงของคุณได้เสมอ

11.คุณสามารถตีตัวออกห่างจากสุราได้เมื่อรู้สึกเบื่อ และเมื่อใดที่คุณกลับไปหา..
     สุราก็ยินดีต้อนรับคุณทุกครั้ง

12.สุราไม่เคยหยิบเรื่องห่วย ๆ ที่คุณทำ (หรือเป็น) ไปเม้ากับเพื่อนๆ

13.คุณพูดได้มากเท่าที่ต้องการเมื่อนั่งอยู่กับสุรา จะไม่มีเสียงบ่นว่า
    'หยุดเดี๋ยวนี้นะ' - 'พอได้แล้ว' - 'นี่คุณ...' - 'หุบปาก' ให้ได้ยินอย่างเด็ดขาด

14.สุราทุกขวด ไม่เคยห่วงว่าคุณจะรักสุราขวดอื่นมากกว่า

15.สุรายิ่งเก่ายิ่งดี มีราคาเพิ่มขึ้นตามเวลา แต่ภรรยาเนี่ยสิ...

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

5 วิธี ทำให้สวยสาวกว่าวัย

ข้อแนะนำ 5 อย่างที่ผมจะแนะนำมีดังนี้...

1. อดทนจนเป็นนิสัย  เรียกว่ามีนิสัยอดทนอดกลั้นได้ ถือเป็นยาขนานวิเศษในการจะทำให้คุณสวย+สาวกว่าวัย เพราะคุณจะควบคุมอารมณ์ และกริยาการแสดงออกที่ไม่ดีได้ สารความเครียด
ความโกรธก็จะหลั่งน้อยลง หน้าตาก็ไม่เหี่ยวย่น หัวใจทำงานได้ดีขึ้น แค่นั้นคุณก็เริ่มงามขึ้นแล้วละครับ

อย่าไปเชื่อใครที่บอกว่า อดทนแล้วเครียดเลย ไม่จริงหรอก ถ้าไม่อดทนซิจะเครียดจากผลตามมา คุณต้องฝึกให้ชินและยอมรับการอยู่ร่วมกับสิ่งที่คุณไม่ชอบให้ได้ คุณจะเป็นสุขมากขึ้น

2. มีกริยาสนุกชื่นชมยินดีเสมออย่างที่เรียกว่า Be joyful นั่นแหละ อย่าอิจฉาผู้อื่นนะ คุณจะมีรอยยิ้มเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะคุณเป็นคนมองโลกทางด้านดี เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้นก็ยิ้ม และคิดว่าเดี๋ยวก็หายไป ถ้ามีความสุขสมหวังก็ไม่หลงยึดติดกับมัน  แค่ยิ้มขอบคุณก็พอ

3. มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนมนุษย์ทั่วไป   รู้วิธีสื่อสารที่ดี มองมนุษย์ในแง่ดี คุณจะรู้สึกรักเพื่อนมนุษย์และอยากแสดงความเป็นมิตร พร้อมจะ Give & Forgive ให้มากขึ้น  และรู้จักรักษาสุขภาพให้แข็งแรง สะอาด แต่งกายเหมาะสม  แลดูเหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายนัก  ต้องอาศัยนิสัยข้อ 1 และ 2 เป็นตัวช่วยด้วย

4. มีพลังใจที่ดีเสมอ ข้อนี้สำคัญมากจะทำให้คุณทำกิจกรรมที่ดีๆ ได้อย่างต่อเนื่อง พลังใจที่ดีจะมาจากการมีศรัทธา ความหวังและความรัก

อยากแนะนำให้คุณมีศรัทธาต่อการทำความดี-ได้ดี ตามกฎแห่งกรรมให้มากๆ แล้วคุณจะมีความหวังอยากอยู่เพื่อรับผลกรรมที่ดีๆ ที่ทำไปแล้วแบบไม่ต้องรอคอย คุณจะรักมนุษย์ได้มากขึ้น เพราะ
ในแต่ละวันคุณมุ่งแต่จะทำความดี ซึ่งจะทำให้คุณมีความสุขชนิดใช้เงินซื้อไม่ได้ (ปิติสุข)

คุณสมบัติข้อนี้ จะทำให้คุณสวยงามมาจากภายในแสดงออกมาชัดเจน ทั้งความมั่นใจตัวเอง ความดี และความตระหนักในความมีค่าของตนเองตามความเป็นจริง

5. มีเสน่ห์+น่ารักด้วยการอธิษฐาน ลองอธิษฐานตั้งใจมั่นดังนี้ซิครับ

ก) เวลาจะพบใคร ขอให้คุณมีโอกาสทำให้เขาคนนั้นมีความสุข หรือโชคดีเสมอ
ข) ให้สามารถกล่าวคำขอโทษได้ทุกครั้ง เมื่อทำผิดทั้งที่รู้ตัวหรือไม่ได้ตั้งใจ
ค) ให้สามารถขอบคุณสิ่งดีๆ หรือใครที่ทำดีให้คุณ แม้เล็กน้อยด้วยใจจริง

เมื่อคุณทำได้ครบทั้ง 5 ข้อ ให้ทำซ้ำ ๆ จนเป็นนิสัย คุณจะเป็นคนที่สวยและสาวกว่าวัยแน่ ๆ  และมีความสุขทุกวันด้วย  เพราะสารเคมีและฮอร์โมนความสุข  จะหลั่งในสมองคุณทุกวัน ทำให้คุณตระหนักว่า  คุณคือความสุข  และคุณคือความสวย   ไม่ใช่คุณมีความสุข หรือมีความสวยหรอก

การที่คุณ “เป็น” อะไรสักอย่าง  สำคัญกว่าการที่คุณ “มี” อะไรสักอย่างแน่ ๆ เพราะมันเป็นตัวคุณเอง กระจายอยู่ในตัวคุณ ไม่มีวันหายและไม่มีวันหมด จะมีแต่คนชื่นชมคุณว่าสวยและสาวกว่าวัย
บ่อย ๆ จนคุณแทบไม่ต้องส่องกระจกดูตัวเองก็ได้

บทความโดย ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ
คอลัมน์ #โลกและชีวิต @แนวหน้าออนไลน์

ท่านอนที่ดีที่สุด

ไม่เคยรู้!! ท่านอนที่ดีที่สุด คือ การนอนตะแคงขวา อ่านจบแล้ว บอกเพื่อนๆต่อเลย

แพทย์โรงพยาบาลศิริราช ได้แนะนำ ท่านอนที่จะทำให้สามารถนอนหลับได้อย่างสบาย ตื่นขึ้นมาก็สดชื่น นั่นก็คือ “นอนตะแคงขวา” ซึ่งจะช่วยทำให้หัวใจเต้นได้สะดวก ช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง

ส่วนผู้ที่ถนัด การนอนตะแคงซ้าย อาจจะทำให้เกิดลมจุกเสียดที่ลิ้นปี่ จึงควรที่จะนอนกอดหมอนข้างพร้อมกับเอาขาพาด เพื่อป้องกันอาการขาชาจากการนอนทับเป็นเวลานานๆ

นพ.ชนินทร์ ลีวานันท์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู

คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ได้กล่าวไว้ว่า การพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ การนอนหลับ มนุษย์นั้นใช้เวลาเพื่อนอนหลับถึง 1 ใน 3 ของอายุขัย ในขณะที่นอนหลับนั้น ท่านอนจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลให้ผู้นอนนั้น หลับได้สนิทตลอดคืนหรือไม่ เมื่อตื่นนอนขึ้นมาจะรู้สึกเพลียหรือตื่นมาอย่างสดชื่น รู้สึกปวดหลังหรือไม่รู้สึกปวดเมื่อย

ซึ่งโดยปกติแล้ว ทั่วๆ ไปคนเรานั้น นิยมที่จะนอนหงาย เพราะเป็นท่านอนที่มาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมนั้น ควรจะใช้หมอนต่ำและต้นคอของคุณควรจะอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้รู้สึกปวดคอ

อย่างไรก็ตาม ท่านอนหงายนั้น ก็ไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะว่ากล้ามเนื้อกระบังลมจะลงมากดทับปอดทำให้คุณหายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของหัวใจนั้น ทำงานได้ลำบากยิ่งขึ้น และนอกจากนี้ ผู้ที่มีอาการปวดหลัง การนอนหงายในท่านอนราบ จะทำให้อาการปวดทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับท่านอนที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับท่านอนอื่นๆ แล้ว ก็คือท่านอนตะแคงขวา เพราะว่าจะช่วยทำให้หัวใจเต้นได้สะดวก และอาหารจากกระเพาะอาหารจะถูกบีบลงไปลำไส้เล็กได้ดีขึ้นด้วย ทั้งยังจะช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วยเช่นกัน

ส่วนท่านอนตะแคงซ้าย ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลังได้ก็จริง แต่ก็ควรจะกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้ด้วย เพื่อจะได้ป้องกันอาการชาที่ขาซ้าย ที่เกิดจากการนอนกดทับเป็นเวลานานๆ ท่านอนตะแคงซ้ายนั้น อาจจะทำให้เกิดลมจุกเสียดที่บริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนนั้น ยังคั่งค้างในกระเพาะอาหาร

ส่วนท่านอนคว่ำนั้น เป็นท่าที่จะทำให้การหายใจติดขัด ทั้งยังจะทำให้รู้สึกปวดที่ต้นคอด้วย เพราะจะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลังหรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นระยะเวลานานๆ ดังนั้น ถ้าจำเป็นจะต้องนอนคว่ำ จึงควรจะใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อที่จะป้องกันอาการปวดเมื่อยที่ต้นคอ

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่องของ..ขอทาน

ร้านซาลาเปาร้านหนึ่ง...กิจการดีมาก มีลูกค้าเข้าร้านตลอดทั้งวัน วันหนึ่ง มีขอทานสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ เนื้อตัวสกปรก มาที่ประตูร้าน ทำให้ลูกค้าหลายคนพากันอุดจมูกเดินหนี

ลูกจ้างของร้านก็เข้ามาต่อว่า และเอ่ยปากไล่ไปให้พ้นร้าน แต่ขอทานก็รีบอธิบาย " คุณครับ ผมไม่ได้มาขอทานหรอก แต่จะมาซื้อซาลาเปา " พร้อมกับเอาเหรียญเศษสตางค์ ออกมานับด้วยสองมือ...

ลูกจ้างรู้สึกรำคาญ จึงออกแรงปัด เหรียญทั้งหมด...ต ก พื้ น !!!
ขอทานตกใจ รีบก้มลงเก็บเหรียญบาทบนพื้น แต่หาอย่างไร ก็ขาดไป 1 บาท อยู่ดี
" เหรียญ 1 บาท นี่...คุณทำตกใช่ไหมครับ "
ขอทานเงยหน้ามอง ก็เห็นเถ้าแก่ ของร้าน...เขาไม่กล้าแม้แต่จะรับเงินจากเถ้าแก่ และกำลังจะวิ่งหนีด้วยความลุกลี้ลุกลน แต่ก็ถูกเถ้าแก่เรียกให้หยุด พร้อมพูดว่า..." ยินดี ต้อนรับครับ คุณลูกค้า !!! ไม่ทราบว่าคุณต้องการ ซาลาเปาไส้อะไร "

ขอทานตะลึงงัน ผ่านไปสักพัก จึงตอบกลับไปว่า " ผมอยากได้ซาลาเปาไส้หมู 1 ลูก "
" ครับ...กรุณารอสักครู่ " แล้วหันไปคีบซาลาเปาไส้หมู ออกจากซึ้งมา และยื่นให้ขอทานอย่างนอบน้อม



และหันไปถามลูกจ้างว่า..." นี่คือวิธีต้อนรับลูกค้าของเธองั้นหรือ "
" แต่เค้าเป็นแค่ ขอทานคนหนึ่ง " ลูกจ้างอธิบาย
" ต่อให้เค้าเป็นขอทาน ก็เป็นลูกค้าของเรา เธอโดนไล่ออกแล้วล่ะ " เถ้าแก่กล่าว
จากนั้น...เรื่องที่ทำให้คนในร้าน ตกใจยิ่งกว่า ก็คือ...เถ้าแก่ให้ขอทานคนนี้ มาเป็นลูกจ้างในร้าน และเมื่อขอทานคนนี้ ชำระร่างกายจนสะอาด เผยให้เห็นหน้าตาที่หล่อเหลาผิดคาด อีกทั้งยังขยันขันแข็ง กลายเป็นผู้ช่วยของร้านได้อย่างดี...

ภายหลัง...มีคนถามเถ้าแก่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า...เถ้าแก่ดูออกได้อย่างไรว่า แท้จริงแล้วขอทานคนนี้ เป็นทองชั้นดี
เถ้าแก่ตอบกลับมาว่า..." ที่จริงแล้วง่ายมาก เขาไม่ได้มาขอซาลาเปากิน แต่เขารวบรวมเงินอย่างอยากลำบาก มีเงินแล้วค่อยมาซื้อซาลาเปาของเรา แสดงให้เห็นว่า...

>>> เขาเป็นคนที่...เ ค า ร พ ตั ว เ อ ง <<<
การไม่เคารพผู้อื่น หมายถึงการไม่เคารพตัวเอง
และ มีเพียงคนที่เคารพตัวเองเท่านั้น
จึงจะเคารพ...ง า น ที่ ตั ว เ อ ง ท

ชีวิตในอนาคต

โลกนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร?
ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร?

ในปี 1998 บริษัทโกดักมีพนักงาน 170,000 คนและมียอดขาย 85% ของกระดาษภาพถ่ายทั่วโลก แต่ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปีรูปแบบธุรกิจของพวกเขาหายไปและต้องประสบกับภาวะล้มละลาย

สิ่งที่เกิดขึ้นกับบริษัทโกดักจะเกิดขึ้นอีกกับอีกหลายอุตสาหกรรมใน 10 ปีข้างหน้า และคนส่วนใหญ่จะยังมองไม่เห็น
จะมีใครในปี 1998 ที่คาดคิดบ้างว่าอีก 3 ปีต่อมาคุณจะไม่ถ่ายภาพบนแผ่นฟิล์มกระดาษอีกต่อไป กล้องดิจิตอลอันแรกที่ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1975 มีความละเอียดเพียง 10,000 พิกเซล

ตามกฎของมัวร์ เทคโนโลยีส่วนใหญ่ที่สร้างความผิดหวังในตอนแรกและใช้เวลานานก่อนที่มันจะกลายเป็นความสำเร็จและเป็นวิธีที่ดีกว่าในเวลาอันรวดเร็ว

มันจะเกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับปัญญาประดิษฐ์(หุ่นยนต์), สุขภาพ, รถยนต์ไฟฟ้า, ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ,การศึกษา, เครื่องพิมพ์ 3 มิติการเกษตรและการจ้างงาน

ขอต้อนรับเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 และต้อนรับสู่ยุคทวีคูณ

(1) ซอฟแวร์จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมมากที่สุดใน อีก 5-10 ปีข้างหน้า Uber เป็นเพียงซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ใด ๆ แต่จะกลายเป็นบริษัท รถแท็กซี่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Airbnb  จะเป็นบริษัท โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินใด ๆเลยคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์(หุ่นยนต์)จะฉลาดขึ้นเป็นทวีคูณและมีความเข้าใจโลกดีกว่ามนุษย์ ในปีนี้คอมพิวเตอร์สามารถเอาชนะมนุษย์ในการเล่นเกมหมากรุกโกะ ซึ่งเร็วกว่าที่คาดคิดไว้ถึง10 ปี

(2) ในสหรัฐอเมริกา, ทนายความที่จบใหม่เริ่มตกงาน เพราะคอมพิวเตอร์ IBM Watson, สามารถให้คำแนะนำด้านกฎหมาย พื้นฐานได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีและมีความแม่นยำถึง 90% เมื่อเทียบกับมนุษย์ที่มีความแม่นยำเพียง 70%  ดังนั้นถ้าคุณกำลังเรียนกฎหมายอยู่ก็เลิกได้เลย เพราะในอนาคต อาชีพทนายจะหายไปกว่า 90% เหลือแต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมายเฉพาะด้านเท่านั้น


(3) ปัจจุบันคอมพิวเตอร์วัตสันได้เข้ามามีส่วนช่วยพยาบาลในการวินิจฉัยโรคมะเร็งได้เร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์ถึง 4 เท่า

(4) Facebook ขณะนี้มีซอฟแวร์ในการจดจำรูปแบบใบหน้ามนุษย์ที่เหนือกว่าคน ในปี 2030 คอมพิวเตอร์จะเริ่มฉลาดกว่ามนุษย์

(5) รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติคันแรกจะเผยโฉมต่อสาธารณชนในปี 2018
ประมาณปี 2020 อุตสาหกรรมรถยนต์จะล่มสลาย ไม่มีความจำเป็นที่คุณจะต้องมีรถยนต์เป็นส่วนตัวอีกต่อไป เพราะเพียงแค่คุณโทรศัทพ์เรียก รถแท๊กซี่ก็จะมารับคุณในตำแหน่งที่คุณเรียกและส่งคุณไปยังจุดหมายปลายทาง โดยคุณไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าที่จอดรถแต่จ่ายเฉพาะค่ามิเตอร์และยังสามารถทำงานไปด้วยในขณะเดินทางอีก ลูกๆของเราก็ไม่จำเป็นต้องสอบใบขับขี่หรือซื้อรถยนต์

(5) ตัวเมืองก็จะเปลี่ยนแปลงไปเพราะรถยนต์จะหายไปจากท้องถนนถึง 90-95% เราสามารถเปลี่ยนพื้นที่จอดรถให้กลายเป็นสวนสาธารณะได้
 อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกปีละ 1.2 ล้านคนก็จะลดลง
 รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจะช่วยลดอุบัติเหตุทางจราจรจากหนี่งรายต่อทุก 100,000 กม.เหลือเพียงหนึ่งรายต่อทุก 10 ล้านกม. ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียชีวิตมนุษย์ได้ปีละนับล้านคน

(6) บริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่จะประสบกับการล้มละลาย บริษัท รถยนต์ที่อนุรักษ์นิยมจะเพียงแค่พยายามพัฒนารถยนต์ของตนให้ดีขึ้นในขณะที่ บริษัท TECH (Tesla, Apple, Google) จะปฏิวัติการสร้างรถยนต์โดยใส่คอมพิวเตอร์ลงในล้อรถยนต์ ผมคุยกับวิศวกรจากโฟล์คสวาเกนและออดี้; พวกเขากลัวคู่แข่งอย่างเทสลามาก

(7) บริษัท ประกันภัยจะเกิดปัญหาใหญ่เพราะเมื่อไม่มีอุบัติเหตุ, เบี้ยประกันก็จะถูกลง 100 เท่า รูปแบบธุรกิจประกันภัยรถยนต์จะหายไป

(8) อสังหาริมทรัพย์จะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะถ้าคุณสามารถทำงานได้ระหว่างการเดินทาง คนก็จะย้ายออกไปอาศัยอยู่ในพื้นที่รอบนอกที่มีทัศนียภาพสวยงามกว่ามากขึ้น

(9) รถยนต์ไฟฟ้าจะกลายเป็นรถยนต์กระแสหลักภายในปี 2020 เมืองก็จะมีเสียงดังหนวกหูลดลงเพราะรถทุกคันจะเป็นรถไฟฟ้า

(10) ราคาค่าไฟฟ้าก็จะถูกลงและเป็นพลังงานสะอาดอย่างเหลือเชื่อ: การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากใน 30 ปีที่ผ่านมา แต่คุณเพิ่งจะเห็นผลกระทบของมัน ปีที่แล้วมีการติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วโลกมากกว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินฟอสซิล ราคาค่าไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จะถูกลงอย่างมากจนทำให้บริษัทเหมืองแร่ถ่านหินต้องปิดตัวลงในปี 2025

(11) ราคาค่าไฟฟ้าที่ถูกลงจะทำให้มีน้ำราคาถูกและเหลือเฟือจากการเปลี่ยนน้ำทะเลให้กลายเป็นน้ำจืดโดยการใช้กระแสไฟฟ้าเพียง 2kWh ต่อการผลิตน้ำจืดหนึ่งลูกบาศก์เมตร  เราจะไม่ขาดแคลนน้ำในสถานที่ส่วนใหญ่อีกต่อไป เพียงแต่อาจขาดแคลนน้ำดื่มเท่านั้น ลองจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าทุกคนสามารถมีน้ำสะอาดให้ใช้ได้เท่าที่เขาต้องการโดยเกือบจะไม่มีค่าใช้จ่ายเลย

(12) สุขภาพ: ร​​าคา Tricoder X จะมีการประกาศในปีนี้ จะมี บริษัทที่ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทำงานได้กับโทรศัพท์ของคุณ (ชื่อ "Tricorder" มาจากภาพยนตร์เรื่อง Star Trek) ซึ่งจะสแกนม่านตาของคุณ พร้อมทั้งตรวจตัวอย่างเลือดและลมหายใจของคุณแล้ววิเคราะห์ ข้อมูลทางชีวภาพ 54 ตัวที่จะบอกโรคได้เกือบทุกชนิดด้วยราคาที่แสนถูก ดังนั้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ก็จะสามารถเข้าถึงการแพทย์ระดับโลกในราคาที่เกือบฟรี

(13) การพิมพ์ 3 มิติ: ราคาของเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่ถูกที่สุดได้ลดลงจาก 18,000 $ มาเป็น400 $ ภายในเวลาเพียง 10 ปีและมีความเร็วขึ้นกว่าเดิม 100  เท่า บริษัทรองเท้าใหญ่ๆได้เริ่มต้นการผลิตรองเท้าด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ รวมถึงในสนามบินที่อยู่ห่างไกลก็เริ่มมีการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องบินโดยเครื่องพิมพ์ 3 มิติแล้ว สถานีอวกาศในขณะนี้ก็มีเครื่องพิมพ์ 3 มิติสำหรับผลิตชิ้นส่วนอะไหล่เอง เพื่อลดความจำเป็นในการเก็บอะไหล่จำนวนมาก ในปลายปีนี้ สมาร์ทโฟนใหม่จะมีความสามารถในการสแกน 3 มิติ ที่จะทำให้คุณสามารถสแกนเท้าของคุณและพิมพ์รองเท้า 3 มิติที่เหมาะสมกับเท้าของคุณไว้ใส่เองที่บ้าน ได้ ประเทศจีนในขณะนี้มีการสร้างอาคารสำนักงาน 6 ชั้นด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติได้แล้ว ภายในปี 2027  10%   ของผลิตภัณฑ์ทุกอย่างจะถูกผลิตโดยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ

(14) โอกาสทางธุรกิจ: ถามตัวคุณเองก่อนว่า "ในอนาคตจะเกิดสิ่งนั้นขึ้นไหม" ถ้าคำตอบคือใช่ คุณจะมีวิธีทำให้มันเกิดขึ้นเร็วกว่านี้ไหม แต่ถ้ามันไม่สามารถจะใช้งานร่วมกับโทรศัพท์ของคุณ ก็จงลืมความคิดนั้นไปได้ เพราะความคิดใด ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อความสำเร็จในศตวรรษที่ 20 จะล้มเหลวในศตวรรษที่ 21

(15) ตำเหน่งงาน: 70-80% ของตำเหน่งงานจะหายไปใน 20 ปีข้างหน้า จะมีงานใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก แต่มันก็อาจจะยังไม่เพียงพอในระยะเวลาที่สั้นเกินไป

(16) การเกษตร: ในอนาคตจะมีหุ่นยนต์ที่ใช้สำหรับการเกษตรราคาถูกเพียงตัวละ 100 $  เกษตรกรในโลกที่ 3  จะทำงานเป็นผู้จัดการแทนที่จะทำงานกลางแดดตลอดทั้งวัน การเกษตรแบบ Aeroponics จะใช้น้ำน้อยมาก

(17) เนื้อลูกวัวที่ผลิตในจานเพาะเลี้ยงเซลและเริ่มมีการขายในขณะนี้จะมีราคาถูกลงกว่าเนื้อลูกวัวจริงภายในปี 2018
ปัจจุบัน 30% ของพื้นที่ทางการเกษตรทั้งหมดใช้สำหรับการเลี้ยงปศุสัตว์ ในอนาคต พื้นที่เหล่านั้นจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

(18) โปรตีนจากแมลงจะมีการวางตลาดในเร็วๆ นี้ มันมีโปรตีนมากกว่าเนื้อสัตว์ และมันจะถูกติดฉลากว่าเป็น "แหล่งโปรตีนทางเลือก" (เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังคงรังเกียจการกินแมลงเป็นอาหาร)

(19) มีแอปที่เรียกว่า "moodies" ซึ่งสามารถบอกอารมณ์ของคุณได้ในปัจจุบัน แต่ภายในปี 2020 จะมีแอปพลิเคชันที่สามารถบอกการแสดงออกทางใบหน้าของคุณว่าคุณกำลังพูดโกหกอยู่ ลองนึกถึงภาพคนดีที่มายืนยันว่า อุปกรณ์ GT 200 ทำงานได้จริง แต่ขณะถูกถ่ายทอด แอปบอกว่าคนคนนี้กำลังตอแหลอยู่

(20) Bitcoin(เหรียญเงินที่ใช้ซื้อขายทางอินเตอร์เน็ต): จะกลายเป็นสกุลเงินกระแสหลักในปีนี้ และอาจจะกลายเป็นสกุลเงินสำรองด้วย

(21) อายุวัฒนะ: ปัจจุบันค่าเฉลี่ยของชีวิตมนุษย์เพิ่มขึ้น 3 เดือนต่อทุกปี
สี่ปีที่แล้วอายุเฉลี่ยของมนุษย์อยู่ที่ 79 ปี ปัจจุบันนี้เพิ่มเป็น 80 ปี ภายในปี 2036 เราทุกคนอาจมีชีวิตยืนยาวไปถึงมากกว่า 100 ปี

(22) การศึกษา: ปัจจุบันราคาสมาร์ทโฟนที่ถูกที่สุดอยู่ที่ 10 $  ในแอฟริกาและเอเชีย ภายในปี 2020 คนในโลก 70% จะมีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเอง ซึ่งหมายความว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึงการศึกษาระดับโลกได้ เด็กทุกคนสามารถใช้ Khan Academy สำหรับเรียนรู้ทุกสิ่งที่เด็กในโรงเรียนของประเทศที่เจริญแล้วเรียนได้ ซอฟแวร์นี้ได้เปิดใช้แล้วในประเทศอินโดนีเซียและจะมีเป็นภาษาอาหรับ ภาษาสวาฮิลีและภาษาจีนในฤดูร้อนนี้ สำหรับApp ภาษาอังกฤษจะเปิดให้ใช้ฟรีเพื่อให้เด็กในประเทศแอฟริกาได้เรียนพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องเคล่วภายในเวลาเพียงครึ่งปี

ดังนั้น ผู้เตรียมตัวเผชิญหน้ากับอนาคตจึงจะอยู่รอดและได้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ปริศนาชีวิต 49 วันหลังความตาย

1.    ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้ บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ
2.    ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากหน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว
3.    ตอนตายใหม่ๆ  ถ้าหากร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ

บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไป เกิด เป็นสัตว์ 4 ชนิด

        สังเกตได้จาก ตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท
- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)
 - หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตายหู จะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย

- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ
- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย
คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอดจะเกิดเป็น สัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก

แล้วเมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหนล่ะ?

       
ดวงวิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลกเพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่วในขณะที่มีชีวิตอยู่

วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์ หรือเรียกว่า 'อนันตริยกรรม' มีอยู่ 5 อย่าง คือ

1. ฆ่าพ่อ
2. ฆ่าแม่
3. ฆ่าพระอรหันต์
4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก
5. ทำร้ายพระพุทธเจ้าห้อเลือด

หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้วเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย

7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี
ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลัง รอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ
เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตายกันดูนะคะ



ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้น เปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพังเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่ บาป กับ บุญ เท่านั้น

เจ็ดวันรอบแรก วิญญาณผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง
- เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้นก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา

- ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงดงหมาป่าก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉยไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย

เจ็ดวันรอบที่สอง เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน...
- เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวร พากันมาทวงหนี้เวลานั้น

 - ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผีจะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย

เจ็ดวันรอบที่สาม เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก
- ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม
ยามมีชีวิต...ทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิดตอนนี้ แต่ก็สายเสียแล้ว

- ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงจะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด

เจ็ดวันรอบที่สี่ เมื่อมาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง
- การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์

เจ็ดวันรอบที่ห้า วิญญาณผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม
- ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตน
- ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์

เจ็ดวันรอบที่หก เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชี
 - ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว
        ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ
        ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา

เจ็ดวันรอบที่เจ็ด เมื่อวิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ

-  ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่
         ถ้าได้ถือศีลกินเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ
         ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว.

กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก ตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท

ข้อมูลจาก oknation

ข้อคิดดีๆ

1. เมื่อวาน ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ จึงมีวันพรุ่งนี้ ให้เราได้ทำสิ่งดีๆ ต่อไป

2. คนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณผ่านทุกปัญหาได้ คือ "ตัวคุณ"

3. เรื่องวุ่นวายบนโลก มีอยู่ 2 อย่างเท่านั้นคือ "ไปหลงรัก" และ "ไปหลงเกลียด"

4. ความสบายใจไม่ได้เกิดจากทำทุกสิ่งให้ได้ดังใจ แต่เกิดจากใจที่ยอมรับว่า ไม่มีอะไรที่จะได้ดังใจเราไปทั้งหมด

5. ต่างคนต่างความคิด ต่างจิตต่างใจ อย่าดูถูกความคิดใคร ถ้าความคิดต่าง

6. อ่านหนังสือออก สำคัญ
อ่านเหตุการณ์ออก สำคัญกว่า
อ่านคนอื่นออก สำคัญยิ่ง
อ่านตนเองออก สำคัญที่สุด

7. ถ้าคิดได้ ให้ช่วยคิด
ถ้าคิดไม่ได้ ให้ช่วยทำ
ถ้าทำไม่ได้ ให้ความร่วมมือ
ถ้าร่วมมือไม่ได้ ให้กำลังใจ
แม้ให้กำลังใจไม่ได้ ให้สงบนิ่ง

8. ละได้ ใจก็สะอาด
วางได้ ใจก็โล่ง
ปลงได้ ใจก็เย็น
อภัยได้ ใจก็สงบ

9. เงาจันทร์ เกิดจากความนิ่งของน้ำ ฉันใด
ปัญญา เกิดจาก ความนิ่งของใจ ฉันนั้น



10. ไม่ใช่ความทุกข์ ที่ทำให้เราคิดมาก แต่เป็นเพราะเราคิดมาก ทำให้เกิดความทุกข์

11. รู้จักให้ รู้จักรับ
รู้จักปรับ รู้จักให้อภัย
รู้จักแบ่ง รู้จักได้
รู้จักแข็ง รู้จักคลาย
ชีวิตจะเบาสบาย
และมีความสุข

12. หาที่สงบร้อยที่ ยังไม่ดีเท่าสงบที่ใจตน
รู้จักคนร้อยคน ไม่ดีเท่ารู้จักตน เพียงคนเดียว

13. เมื่อมี จงรู้จักให้
เมื่อได้ จงรู้จักพอ
เมื่อขอ จงรู้คุณค่า
คนเราเกิดมา ถึงเวลา ก็ต้องจากไป

14. สิ่งที่ย้อนไม่ได้ คือเวลา
สิ่งที่หนีไม่ได้ คือความตาย
สิ่งที่ชื้อไม่ได้ คือ สุขภาพ&ชีวิต
สิ่งที่มองไม่เห็น คือใจคน
สิ่งที่ต้องอดทน คือใจตัวเอง

15. ไฟไม่ได้ร้อน ถ้าเราไม่เอาตัวเข้าไปใกล้
ทุกข์ใดๆ ก็ไม่ทำให้เราหนัก ถ้าเราไม่เอาใจเข้าไปแบก

16. กำลังใจอาจหาได้จากคนรอบข้าง แต่ความเข้มแข็ง เราต้องสร้างมันขึ้นเอง

17. บางครั้งกำลังใจ นอกจากจะมีไว้ให้ใครๆ ก็ต้องเก็บไว้ให้ตัวเองด้วย

18. เมื่อตัดสินใจที่จะเดินไปข้างหน้า ก็อย่าหวั่นไหวกับปัญหา ที่จะต้องพบเจอ

19. คนมีปัญญา มักมองเห็นโอกาส ในทุกๆ ปัญหา
คนขาดปัญญา มักมองเห็นปัญหา ในทุกๆ โอกาส

20. ทุกครั้งที่เรา ไม่เข้าใจกัน ไม่ผิดที่จะโกรธ
แต่ผิดที่เราไม่ขอโทษกัน

21. จงเป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข
แค่นี้ก็เป็นคนโดยสมบูรณ์แล้ว

Cr : นิรนาม

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ปริญญา 2 ใบ

...ที่เมืองไทยหลายปีก่อนแล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก
คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก
เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน
ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร นะ
มาเรียนที่อเมริกา
เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส
ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน
ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู
ว่าสะอาดจริงมั้ย
กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย
ต้องให้ดีที่สุด
เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ
เขียนไว้สามแผน
แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ
แกเสนอแผนที่สอง
แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม
ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย
แกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยา
มีธุรกิจ
มีชื่อเสียงทุกอย่าง
แกมีทุกอย่าง
วันหนึ่งแกพักผ่อน
หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย
ลูกเมียไปขอพบ
บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต
วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง
ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป
ภรรยาพาเข้าโรงบาล
ตรวจพบมะเร็ง

พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย
จริง ๆ เค้าก็เตือนตลอด
แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้
แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล
แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน
บันทึกชีวิตแก
ก่อนจะเสียชีวิต
แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว
แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่
กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก

ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า
พ่อผมเคยบอกว่า ...
เกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ

1...ปริญญาใบที่หนึ่ง ....
"ปริญญาวิชาชีพ"
เราจะต้องทำมาหากินเป็น
กินอิ่ม นอนอุ่น พูดง่าย ๆ
ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้
อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง
แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ

2...แต่"ปริญญาวิชาชีวิต" ..
ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้
แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง
ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ
แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก
เพราะอะไร
เพราะทำงานจนป่วยตาย

ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง
บ้าน รถ
มอบมันให้กับลูกและภรรยา
แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา
สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้
สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย
เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย

...นี่คือปริญญาวิชาชีวิต ...
ธรรมะเราจะต้องมี
ถ้าเราไม่มีธรรมะ
เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง
ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี
ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว
อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ
แต่ละวันควรจะมี
ให้ดูแลตัวเอง ดูจิต
ดูใจตัวเอง
ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์
มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า
แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้
เกินไปหรือเปล่า
พยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ
เพื่อที่ว่าอะไร
เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต
หนึ่งปริญญาวิชาชีพ
เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง
มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่
แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง
คือวิชาธรรมะ
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง
ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป
ทำอะไรให้พอดี
พอดีอยู่ดีมีสุข
อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว
อยากพักให้ได้พัก
อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ
ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง
อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด
และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี
เพราะอะไร
เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา

เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า..
ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด
บางคนก็ตอบเงิน
บางคนก็ตอบเพชร
บางคนก็ตอบทอง
บางคนก็ตอบอำนาจ
บางคนก็ตอบราชบัลลังก์

พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่
สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต..
สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ
และก็ชีวิตของเรา

หากบุญกุศลอันใดจะเกิดได้จากการเผยแพร่เรื่องราว ผู้บันทึกก็ขอให้กุศลผลบุญนี้ จงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเพื่อปัญญาของเพื่อนผู้ร่วมวัฏฏะทุกท่าน และขอให้ ดร.อนุวัฒน์ ไม่ว่าจะไปอยู่ภพไหนหนใดก็ขอให้มีปัญญาเท่าทันต้นเหตุแห่งทุกข์เช่นที่ท่าน ได้ถ่ายทอดเรื่องราวเตือนสติผู้อื่นไว้...
...ขอขอบพระคุณในข้อคิดดีดี..

เว็บไซต์กลุ่มแพทย์ศิริราช

กลุ่มแพทย์ศิริราชรุ่น 103 เปิด website ให้ทุกคนสามารถโพสท์ปรึกษาหารือโรคภัยไข้เจ็บได้แล้วรวม 16 สาขา: โดยมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในสาขาต่างๆเกือบ 20 ปี จำนวน 10 กว่าท่าน ที่ว่างหลังจากลงเวรตรวจ คอยให้คำปรึกษา ไม่ต้องไปพึ่งอากู๋(เกิ้ล) ที่มีข้อมูลเยอะแตกต่างกันจนไม่รู้จะเชื่ออันไหนดี
      คุณหมอตัวจริงอย่าง น.พ.อดุลย์ชัย ธรรมาแสงเสริฐ หรือ หมอเกมส์ แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรม และศัลยกรรมตกแต่ง เห็นวัฒนธรรม
การแชร์ข้อมูลทางการแพทย์ทางสุขภาพต่างๆในไลน์.ในเฟส ฯ ที่บิดเบือน ไม่ได้มีการรับรองทางการแพทย์ ซึ่งแน่นอนว่า เป็นข้อมูลที่แฝงประโยชน์ทางพาณิชย์ ถูกแชร์กันในโลกโซเชียลกันมาก ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด ผมกับเพื่อนเราเองร่ำเรียนมาตั้ง
12 ปี ความรู้ก็มีไม่น้อย และผมก็มีใจรักทางจิตอาสาเป็นทุนอยู่แล้ว ก็ร่วมกับเพื่อนหมอศิริราช รุ่น103 มาตอบคำถาม ให้ความรู้ทางการรักษาที่ถูกต้องแก่ประชาชน โดยไม่ต้องเสียสักบาทเดียว ก็คือที่มาของชื่อเพจนั่นล่ะครับ

ด้วยสโลแกนที่ว่า"ปรึกษาด้วยใจ..ไม่ใส่ใจค่าตอบแทน"
    เว็บไซต์ www.sosspecialist.com มีคุณหมอผลัดเปลี่ยนกันมาพูด-คุยกับทั้งคนไข้และญาติ แบ่งออกเป็นห้องตรวจเฉพาะทางตามกลุ่มโรคทั้งหมด 16 ห้อง คือ

 1. อายุรกรรม
 2. ศัลยกรรม
 3. โรคเด็ก
 4. สูตินารีเวช
 5. กระดูกและข้อ
 6. กายภาพบำบัด
 7. จิตเวช
 8. ตา
 9. ทันตกรรม
 10. ผิวหนัง
 11. รังสีวินิจฉัย
 12. มะเร็ง
 13. หู คอ จมูก
 14. เภสัชกร
 15. แพทย์แผนจีน
 16. โภชนาการ

          ถ้าสงสัยเรื่องอะไรก็เข้าไปโพสถามคุณหมอประจำห้องตรวจได้เลย เป็นส่วนตัวคำถามเหล่านี้ ถามกันได้ทุกเรื่องไม่ต้องเม้ม หรือหากอยากแชร์ประสบการณ์กับสมาชิกคนอื่นก็ไปตั้งเป็นกระทู้ในเว็บได้

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ข้อคิดดีๆ จาก"ปู่เย็น"

ปู่เป็นมุสลิมเมืองเพชร แต่เมียปู่เป็นไทยพุทธแถวประจวบ ทั้งสองครองรักกันยืนยาวโดยไม่มีฝ่ายใดได้ เปลี่ยนรีตเปลี่ยนรอยศาสนา รวมทั้งในชีวิตไม่เคยมีพิธีกรรมออกหน้าออกตาอันใด ใช้หัวใจหรือหัว อะไรบ้างก็ไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่าอยู่กันมายืนยาวกว่าไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ย่าขี้เกียจอยู่ดูโลก จากปู่ไปก่อน ตอนอายุ 92 ปี ตอนย่าจากไปปู่ร้องไห้ อยู่ 3 เดือน

ชายชราคนหนึ่ง ร้องไห้กับการจากไปของหญิงชราคนหนึ่งนาน 3 เดือน คงไม่ใช่เพราะความขี้แย นับแต่วันที่ย่าจากไป ปู่ก็ออกจากบ้านเช่าราคาเดือนละแปดร้อยบาท ขนทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้นในชีวิต มาอยู่บ้านหลังใหม่ ไม่มีเสา ไม่มีหลังคา ยาวราวๆ 2 วา กว้างแค่ 2 ศอก บ้านของปู่เป็นเพียง เรือลำเล็กๆ ลอยอยู่ในลำน้ำเพชร ปู่กิน อยู่ หลับนอน อยู่ในเรือมานานนับสิบปี โดยมี การงานแห่งชีวิตเพียงอย่างเดียว คือ การดักอวนหาปลา



ทุกวันปู่จะจอดเรือนั่งๆ นอนๆ อยู่ใต้สะพานลำใย ซึ่งทอดเชื่อมระหว่างบ้านหม้อ กับตลาดวัดท่อ พอเย็นๆ ก็จะเริ่มพายเรือออกไปหาที่วางอวน ปู่จะวางอวนคืนละ 2 ครั้ง ดึกๆ ครั้งหนึ่ง รุ่งเช้าอีกครั้งหนึ่ง ได้ปลาปู่ก็จะเอาใส่กะละมังหิ้วขึ้นมาขายที่ตลาดวัดท่อในตอนเช้า ก่อนเดินกลับลงไปพักผ่อน เวลาเลือนผ่านชีวิตไปโดยไม่วิตกทุกข์ร้อน หรือไม่ก็ซ่อมอวนอยู่ในเรือนเรือ

ปู่ไม่ชอบให้ใครสงสารปู่ แต่ปู่ชอบสงสารคนอื่น ปู่มักจะขายปลาที่นับวันยิ่งหายากในราคาถูกๆ คนที่มาซื้อเห็นปู่ขายถูก ยิ่งขอซื้อให้ถูกเข้าไปอีก แต่ปู่ก็ไม่ว่าอะไร นานปีทีหนจึงจะมีคนใจดี ซื้อปลาไม่กี่ตัว ให้เงินเกินมา ไม่เอาเงินที่ปู่ทอนกลับไป แบบนี้ปู่ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าใครให้ปู่ฟรีๆ มีปัญหาทันที

ผมเคยถามว่า ทำไมปู่ไม่ไปขอความเมตตาจากใครๆ เขา คนแก่ๆ ยังไงๆ ใครๆ ก็สงสาร ปู่บอกว่า ไม่เอา ไม่ชอบที่สุด ดูแต่หอยซิ ไม่มีมือมีตีน มันยังหากินได้เอง (รู้จักมั้ยหอยน่ะ…ปู่ย้ำ) ประสาอะไร กับคนมีมือมีเท้า หากินเองไม่ได้ก็อายหอย

ปู่คิดและเชื่อแบบนี้ แต่มีคนมากมายที่ไม่ได้คิดและเชื่อแบบปู่ ปู่อาจดูโง่และน่าหมิ่นแคลนในสายตาของคนเหล่านั้น แต่ปู่ไม่มีวันหมิ่นแคลนตัวเอง ขณะปู่อยู่ในเรือ คนเหล่านั้นอาจกำลังนั่งถือขันอยู่ตามสะพานลอย หรือไม่ก็กำลังข่มขู่ทุบตีเพศแม่ที่เป็นเมียตอนที่ตัวเองกำลังเมา กำลังขูดรีด โก่งราคา จี้ปล้น ฉ้อ โกง ฮั้วสัมปทาน เล่นแร่แปรหุ้นในตลาดเงิน

ไม่ว่าความฉลาด ความโง่ ความดี ความชั่ว ความนับถือ และการให้ค่าในการมีชีวิต แน่นอนว่า คนพวกนั้นต่างกับปู่ ขณะที่ปู่คิดว่าคนเราไม่ว่าเฒ่าชะแร แก่ชราแค่ไหน หากยังมีลมหายใจ ก็ต้องพยายาม อยู่ให้ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง โดยไม่เอารัดเอาเปรียบ และเบียดเบียนใคร พูดง่ายๆ ว่ารับผิดชอบดูแลตัวเอง หาอยู่หากินเอง ว่างั้นเหอะ

** ปู่อาจไม่รู้จักคำว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในหัวสมองปู่อาจไม่มีคำว่าชีวิตที่สง่างาม ความหยิ่งทะนง แต่ปู่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิต ซึ่งบางทีคนที่ใช้คำเหล่านี้หากินบ่อยๆ เสียอีก.....ที่ชีวิตไม่มีสิ่งเหล่านี้...

เครดิต : P'Toom

ลูกน้อง 3 ประเภท

ลูกน้อง 3 ประเภท "เสือ ควาย หมา"

- ถ้าคุณจะจ้าง "เสือ" คุณต้องให้เค้ามีพื้นที่แล้วปล่อยเค้าไปล่าเหยื่อมาให้ ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องกำหนดวิธี...พวกเค้าคือนักล่า

- ถ้าคุณจะจ้าง "ควาย" คุณต้องให้หญ้าเค้าให้พอ ต้องบังคับแล้วใช้ไถนา...พวกเค้าอึดแต่ต้องจูง

- ถ้าคุณจะจ้าง "หมา" คุณต้องให้อาหาร ให้ความสนิทสนมแล้วใช้เฝ้าบ้าน ใช้ให้เห่า...พวกเค้าภักดี ประจบ จับผิดและชอบเลียปากนาย

คนที่ไม่เข้าใจก็จะไปใช้"เสือ"อย่างกับ"ควาย" ไปใช้"ควาย"อย่างกับ"หมา"แล้วดันให้"หมา"ไปเป็น"เสือ"

เสือไม่เลียปากนาย ไม่ประจบและไม่ไถนา
ควายไม่เฝ้าบ้าน ไม่ล่าเหยื่อและไม่ประจบ
หมาไม่ไถนาและไม่ล่าเหยื่อ**

ต้องเข้าใจและใช้ให้เป็น

**หมายเหตุ : ยกเว้นหมาป่า ถ้าอยู่เป็นฝูงก็จะชอบล่าเหยื่อและลอบกัด

Credit : Forwarded Line

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ในอดีต พระเจ้าสร้างควายก่อน

พระเจ้าบอกควาย “แกไปไถนาทุกวัน จากตะวันขึ้นจนตะวันตกดิน กินแต่หญ้า ให้แกอยู่ได้ 60 ปี”
ควาย : “ไม่เอาหรอก ทำงานหนักแทบตาย กินได้แต่หญ้า เอา 20 ปีพอ ที่เหลือคืนพระเจ้า”
พระเจ้าตกลง

วันต่อมา พระเจ้าสร้างลิง
พระเจ้าบอกลิง “แกไปทำให้สัตว์อื่นมีความบันเทิง ทำให้สัตว์อื่นหัวเราะ ตีลังกาให้สัตว์อื่นดู กินได้แต่กล้วย ให้แกอยู่ 20 ปี”
ลิง : “ทำให้สัตว์อื่นหัวเราะ แสดงกายกรรม ตีลังกา งานหนักขนาดนี้
เอา 10 ปีพอ”
พระเจ้าตกลง

วันต่อมา พระเจ้าสร้างหมา
พระเจ้าบอกหมา “แกไปอยู่หน้าบ้าน กินของเหลือจากเจ้าของ ให้แก 25 ปี”
หมา : “เห่าทั้งวัน เอา 15 ปีพอ ที่เหลือคืนพระเจ้า”
พระเจ้าตกลง

วันต่อมา พระเจ้าสร้างคน
พระเจ้าบอกคน “แกเอาแต่นอน กิน เล่น เที่ยว ไม่ต้องทำอะไรเลยให้มีความสุขกับชีวิต ให้แก 20 ปี”
คน : “ชีวิตมีความสบายแบบนี้ 20 ปี น้อยไป”
พระเจ้าไม่ได้พูดอะไร
คน : “เอาอย่างนี้ ควายคืนไป 40 ลิง 10 หมาก็ 10 ปี ยกให้ผมแล้วกัน ผมก็อยู่ได้ถึง 80 ปี”
พระเจ้าตกลง

คนเลยกินข้าว นอน เล่น เที่ยว 20 ปี
ที่เหลือ 40 ปี ทำงานยังกะควายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
ต่อมา 10 ปี ก็ทำตัวเป็นลิง เล่นอยู่กับหลานให้หลานหัวเราะสนุกสนาน (เลี้ยงหลาน)
สุดท้าย 10 ปี ไปไหนไม่ได้ เฝ้าบ้านยังกะหมา

กรรม...

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

10ปี 7ครั้ง

"ชีวิตคนเราจะมีสิบปีสักสักกี่ครั้งกัน"
ถ้าคนเราอายุเฉลี่ย 70 ปีเราก็มี 10 ปีแค่ 7 ครั้ง

1. สิบปีแรก..หมดไปกับความไร้เดียงสา
2. สิบปีต่อมา..หมดไปกับการศึกษาเล่าเรียน
3. สิบปีต่อมา.หมดไปกับการทำงานและการใช้ชีวิต
4. สิบปีต่อมา..หมดไปกับการสร้างฐานะ สร้างครอบครัว
5. สิบปีต่อมา..หมดไปกับการลงหลักปักฐานรักษาสิ่งที่หามา.
6.สิบปีต่อมา..หมดไปกับการดูแลรักษาสุขภาพกาย-ใจให้แข็งแรง
7. สิบปีสุดท้าย..หมดไปกับการปล่อยวางทุกสิ่ง รอคอยการกลับบ้านแต่ละสิบปีผ่านไป...ไวเหมือนโกหก

อีกไม่นานปีนี้ก็จะผ่านไปมีอะไรที่เราทำไปแล้วมากมาย และก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่ได้ทำ



** เวลา คือ หน่วยเงินในกำมือของเราที่เอาไปแลกสิ่งอื่น

-เราเอาเวลาไปแลกงาน
-เราเอางานไปแลกเงิน
-แต่เราก็ไม่เคยเอาเงินไปแลกเวลาคืนกลับมาได้สักที

ถ้า 'ธนาคารเวลา' มีจริงเราก็ไม่เคยมีสมุดบัญชี
สักเล่มที่จะให้เราดูได้..ว่าตอนนี้เหลือเวลาอยู่เท่าไหร่?

** เรารู้ว่าเราใช้ "สิบปี"ของเราไปกี่ครั้งแล้วแต่เราไม่อาจรู้ว่า...เราจะใช้ "สิบปี" ที่เหลือของเราได้ครบมั้ย?

แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับเราใช้เวลาสิบปีของเราไปคุ้มค่าหรือเปล่า?เมื่อเราหันหลังกลับมาขอให้พูดได้เต็มปากว่า
เราใช้มันไปอย่างไม่น่าเสียดาย

ชีวิตต ค น เ ร า จ ะ มี"สิ บ ปี"สั ก กี่ ค รั้ ง กั น?
ใช้สิบปี เจ็ดครั้งของเราใ ห้ คุ้ ม ค่า กับสิบปีปัจจุบันของท่าน

 อ่านให้จบ คุณอาจจะหันมารักตัวเอง...
สรุป: ชีวิตที่เรียบง่าย ให้สนุกกับการใช้ชีวิต 30% ที่เป็นของคุณ
- ไม่เจ็บปวดแต่ก็ต้อง บำรุง
- ไม่กระหายแต่ก็ต้อง ดื่มน้ำ
- ว้าวุ่นแค่ไหนก็ต้อง ปล่อยวาง
- มีเหตุมีผลแต่ก็ต้อง ยอมคน
- มีอำนาจแต่ก็ต้องรู้จัก ถ่อมตน
- ไม่เหนื่อยแต่ก็ต้อง พักผ่อน
- ไม่รวยแต่ก็ต้อง รู้จักพอเพียง
- ธุระยุ่งแค่ไหนก็ต้องรู้จัก พักผ่อน

หมั่นเตือนตน: ชีวิตนี้สั้นนัก
หากเวลาของคุณยังมีเหลือเฟือ ส่งต่อข้อความเหล่านี้ต่อให้เพื่อนของคุณ ให้เพื่อนได้อ่านบ้าง เพื่อจะได้ใส่ใจตัวเองบ้าง    .......ดังนั้น......

- อยากกิน...กิน
- อยากเที่ยว....เที่ยว
- เรื่องกลุ้มอย่าเก็บไว้
- สุขสบายทุกเพลา
- เวลาที่ยังจับมือไหวให้เชิญเพื่อนมาสังสรรค์
- เวลาที่ยังกอดไหวให้โอบกอดให้ชื่นใจ
- ทำหน้าที่พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา พี่ น้อง เพื่อนที่ดีต่อไป
- เวลาที่อยู่ด้วยกันอย่าได้โกรธกันง่ายๆ

Cr.กรรณนิกา ชื่นมาลัย

ชื่อเรียกของเงินตามสถานะ

ชื่อเรียกของ "เงิน" เปลี่ยนไปตามสถานะ

- ทำบุญ เรียก "บริจาค"
-ให้โรงเรียน เรียก "แป๊ะเจี๊ยะ"
- แต่งงาน เรียก "สินสอด"
- หย่า เรียก "ค่าเลี้ยงดู"
- ยืม เรียก"หนี้สิน"
- ให้รัฐบาล เรียก "ภาษี"
- ในศาล เรียก "ค่าปรับ"
- เกษียณ เรียก" บำนาญ"
- ให้ไปทำงาน เรียก "เบี้ยเลี้ยง"
- ตอบแทนค่าบริการเรียก"ทิป"
- ในการลักพาตัว เรียก "ค่าไถ่"
- จ่ายค่าการบริการที่ผิดกฎหมายเรียก "ส่วย"
- ถ้าถูกเมียยึดเงินเดือน เรียก "สมน้ำหน้า"

6เรื่องหลักๆที่หัวหน้าไม่ควรทำ

6 เรื่องหลักๆ ที่เห็นหัวหน้าทำแล้วหมายถึงกำลังฆ่าตัวตาย....

1. Micromanage - ยุบยิบแม่งไปทุกเรื่อง ลูกน้องหมดกำลังใจนะครับ แถมลูกน้องก็จะไม่โตซะที เค้าก็จะคิดว่า เมิงทำเองละกัน

2. Focus on mistake - ทำผิดต้องให้แก้ไข ให้เรียนรู้ ไม่ใช่ซ้ำ ฆ่ามันตายแล้วใครจะทำงานครัช ถ้าลูกน้องกลัวว่าจะทำผิดแล้วโดนด่า เค้าก็จะใส่เกียร์ว่าง นั่งเฉยๆไม่ทำอะไรเลย

3. Dismiss idea - มองข้ามไอเดียของลูกน้อง คุณไม่ได้รู้ทุกเรื่องนะจ๊ะ ข้ามบ่อยๆ เค้าก็จะไม่บอกคุณ งมเองละกันเน้อ

4. Don't keep your word - การไม่รักษาสัญญา ฆ่าคุณแน่ๆ ดังนั้น อย่าสัญญาตอนอารมณ์ดี และอย่าลงโทษตอนโมโห สติๆ ดึงๆไว้

5. Hold useless meeting - ไม่มีอะไรก็เรียกประชุมอยู่นั่นแหล่ะ มีแต่น้ำ ไม่มีเนื้อ ฟุ้งแม่งไปเรื่อย แบบจับต้นชนปลายไม่ได้ มันน่าเบื่อนะครัช ทำการบ้านมาก่อนนะ ไม่ใช่เรียกมาปาร์ตี้

6. Set Unrealistic deadline - วางแผนก่อนสั่งงานนะจ๊ะ เด็กทำทันมั้ย ถ้าไม่ทัน อย่าโวยวาย งานเก่า เสร็จมั้ย ติดอะไรดูด้วย ถ้ามีผิดพลาด ให้กลับไปอ่านข้อ 2 นะแจ๊ะ