วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ข้อคิดดีๆ

"ตำแหน่ง" เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งของการทำงาน..
ส่วน "ตำนาน" นั้นเป็นเรื่องราวที่อยู่ในใจผู้คน..
อย่าเป็นผู้นำแค่อยู่ในตำแหน่ง
แต่ขอให้นั่งในใจของทีมงาน..
"เชื่อมั่นในความดี ศรัทธาในองค์กร สักวันคงได้ดี ถ้าไม่ได้ดีก็ให้ถือว่า มันเป็นลิขิตแห่งฟ้า
เป็นบัญชาแห่งสวรรค์"


วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

คำตอบของชีวิต

1. ทุกคนต้องเจอคลื่นชีวิต สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคุณจะรับมือกับมันได้อย่างไร? (ยามเจอกับคลื่นชีวิต จงบอกกับตัวเองว่าไม่ใช่คุณคนเดียวที่เจอ)

2. คนที่แกร่งจริงไม่ใช่คนที่สยบทุกสิ่งได้ แต่เป็นคนที่ไม่ถูกสยบจากสิ่งต่างๆ

3. วันเวลาไม่อาจย้อนคืน ถนอมผู้คน เรื่องราวในเวลาให้ดีที่สุด

4. สภาพจิตที่ต่างกัน ย่อมมองเรื่องราวไม่เหมือนกัน อย่าตัดสินคนอื่นจากความคิดของตนเอง

5. ดูแลอารมณ์ของตัวเองให้ดี เพราะไม่ว่าจะเป็นสุข เศร้า เหงา เจ็บปวด ใครก็รู้สึกแทนคุณได้

6. บางช่วงเวลาของชีวิต คุณต้องกล้าหาญ กล้าที่จะรัก กล้าที่จะลืม กล้าที่จะถอย กล้าที่จะเดิน

7. เมื่อชีวิตเสียสูญ หากอยากร้องไห้ก็ร้องไปเถอะ(ตำรวจไม่จับหรอก) มันก็แค่ความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิต ร้องแล้วให้ลุก เพราะสิ่งดีๆรอคุณอยู่ในสถานีถัดไป

8. อย่ามัวแต่มองเท้าคนอื่น จนลืมเดินเส้นทางของตัวเอง

9. อย่าลืมเปลี่ยนความเคยชินแย่ๆที่คุณเป็นอยู่ เพราะเมื่อคุณเปลี่ยน โลกของคุณก็เปลี่ยนตาม

10. ฟ้าเบื้องบนจะใช้สามวิธีนี้เป็นคำตอบกับคนที่เคยทุ่มเท คือ พยักหน้าให้ในสิ่งที่คุณปรารถนา ส่ายหัวให้เมื่อคุณอยากได้มากกว่านั้น และเมื่อคุณยืนหยัดรอ ฟ้าจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่คุณ


วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เมืองร้อยเอ็ด

อยู่ร้อยเอ็ด อำเภอเมือง ให้เรืองรุ่ง
เรื่องยากยุ่งไม่มี ศรีสมเด็จ
ประทุมรัตต์ เปล่งปลั่งดั่งเมืองเพชร
งานสรรพเสร็จหนองฮี แสนดีงาม
แดนเกษตรวิสัย ห่างไกลเศร้า
โพนทองเล่า สดใส ใจอร่าม
สุวรรณภูมิ เลื่องลือระบือนาม
สุขทุกยาม ธวัชบุรี ศรีวิไล
อาจสามารถเมืองสระบุศย์สุดล้ำเลิศ
นามประเสริฐ เมยวดี ศรีสดใส
นามหนองพอก เรืองรอง ผ่องอำไพ
เสลภูมิ เลิศวิไล ไร้โรคา
จตุรพักตรพิมานมั่งมีศรีวิเลิศ
บุญชูเชิด โพธิ์ชัย ให้สง่า
ทุ่งเขาหลวง เด่นดัง ทั้งพารา
ปวงประชาเมืองสรวงดวงเด่นไกลเงินทองไหลมาเทมา
ชาวเชียงขวัญ เบิกบาน สราญจิต
มวลมิ่งมิตร จังหาร งานสดใส
รวยกุศล สุขสม พนมไพร
แดนโพนทรายใสสดหมดทุกข์เอย


วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

อย่าให่ยาฆ่าคุณ


สิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์คือปัจจัยสี่ ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่มห่ม และยารักษาโรค หากขาดไปเพียงสักปัจจัยเดียวชีวิตก็ไปต่อได้ยาก! โดยเฉพาะเรื่อง “ยา” เราวางใจได้แค่ไหนกับยาจากโรงพยาบาลที่แพทย์สั่งให้หรือยาที่เราซื้อจากร้านที่อนุญาตให้จำหน่ายว่าจะปลอดภัยต่อชีวิตและช่วยรักษาโรคได้ผลจริงๆ

รู้หรือไม่ว่าในความจริงแล้ว 90% ของยาไม่มีผลในการรักษา ยาแค่ทำให้อาการทุเลาระยะหนึ่งเท่านั้น และ แม้คุณจะใช้ในขนาดธรรมดา (ขนาดรักษา) ยาก็ยังมีผลข้างเคียงอยู่เสมอ เช่น ยาแก้แพ้ทำให้ง่วงนอน ยาแก้ปวดลดไข้ทำให้ระคายกระเพาะอาหารและลำไส้ เป็นต้น
มีคุณหมอญี่ปุ่นชื่อดังคนหนึ่งที่พบความจริงมากมายจากข้อมูลเรื่องยาและโรคภัยจากทั่วโลก และคลุกคลีกับผู้ป่วยมากว่า 40 ปี จะมาบอกข้อเท็จจริง คำแนะนำ และความรู้ที่คุณอาจจยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องยา วัคซีน สุขภาพองค์รวม โรคภัยไข้เจ็บ และมะเร็ง เป็นแนวคิดที่สวนกระแสจากวงการแพทย์ทั่วไป คุณหมอคนนี้ขอเตือนคุณอย่างจริงใจ เพราะไม่เช่นนั้นแทนที่ “ยา” จะรักษา กลับ “ฆ่า” คุณได้

นายแพทย์คนโด มะโกะโตะ หมอคุณธรรมแห่งยุคและบุคคลเกียรติคุณผู้บุกเบิกการรักษามะเร็งเต้านมโดยไม่ตัดทิ้ง มาพลิกความเชื่อเดิมๆ และทบทวนดูว่า “ยา” จำเป็นจริงหรือ และใช้ยาให้น้อยที่สุดหรือไม่ใช้เลยก็มีสุขภาพดีได้จริงหรือไม่ คุณหมอคนโดจะถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้เรื่องยาในแง่มุมต่างๆ ว่ายาส่งผลต่อร่างกายที่ตรงกันข้ามกับการเยียวยาให้หายป่วย ดังนี้

1.การใช้ยาเพื่อลดไข้หรือยับยั้งอาการท้องเสียกลับทำให้อาการรุนแรงขึ้นหรือเป็นนานขึ้น
2.ถ้าใช้ยาแก้ปวดหรือแผ่นบรรเทาอาการปวดจนติด อาการปวดจะค่อยๆ รุนแรงและดื้อยามากขึ้น
3.การใช้ยาลดความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอล ทำให้สมองขาดเลือด หลงลืม และสมองเสื่อม
4.การลดระดับน้ำตาลในเลือดมากเกินไปทำให้ช็อกหมดสติ มีโอกาสเสียชีวิตเฉียบพลัน
5.ยาเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท เช่น ยาระงับประสาท ยาแก้โรคซึมเศร้า ยานอนหลับ ทำให้เหนื่อยล้าและมีโอกาสเสพติดได้ นำมาซึ่งเหตุร้ายแรงมากมาย เช่น ฆ่าตัวตาย ก่อเหตุฆาตกรรม หรือใช้ความรุนแรง เป็นต้น
6.ยาที่ได้ชื่อว่าป้องกันอาการหลงลืม ทำให้การดำเนินโรคช้าลง ไม่มีการพิสูจน์ผลของยาแต่อย่างใด แต่กลับมีผลข้างเคียงน่ากลัว เช่น เพ้อ คลื่นไส้ หมดสติ เป็นต้น คิดดูแล้วไม่กินย่อมดีต่อสมองมากกว่า
7.วิตามินไม่ช่วยการรักษา การกินบีตาแคโรทีนมากเกินไปจะเพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็ง
8.ยาแก้หวัด ยาลดอักเสบในโพรงจมูกที่จำหน่ายในท้องตลาดทำให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังกลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน
9.ยาต้านมะเร็งเพียงแต่ทำให้มะเร็งหดลงระยะหนึ่งแล้วโตขึ้นใหม่ ทั้งยังทำลายเซลล์ปกติอีกด้วย จึงไม่ได้ช่วยอยู่ได้นานขึ้นแต่อย่างใด

 “ กินเนื้อสัตว์และผักให้มาก หมั่นพูดหมั่นคุย อย่าโหยหาอดีต อย่ากังวลเรื่องอนาคต ให้ความสำคัญกับปัจจุบัน นี่คือสิ่งสำคัญสำหรับการมีสุขภาพดี”

วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ทฤษฎีใหม่



ทฤษฎีใหม่
ปัญหาหลักของเกษตรกรในอดีต จนถึงปัจจุบันที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การขาดแคลนน้ำเพื่อเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่เกษตรที่อาศัยน้ำฝน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศที่อยู่ในเขต ที่มีฝนค่อนข้างน้อยและส่วนมากเป็นนาข้าวและพืชไร่ เกษตรกรยังคงทำการเพาะปลูก ได้ปีละครั้งในช่วงฤดูฝนเท่านั้น และมีความเสี่ยงกับความเสียหาย อันเนื่องมาจากความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศและฝนทิ้งช่วง แม้ว่าจะมีการขุดบ่อหรือสระเก็บน้ำไว้ใช้บ้างแต่ก็มีขนาดเพียงพอ หรือมีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นปัญหาให้มีน้ำใช้ไม่เพียงพอ รวมทั้งระบบการปลูกพืชไม่มีหลักเกณฑ์ใดๆ และส่วนใหญ่ปลูกพืชชนิดเดียว

ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  จึงได้พระราชทานพระราชดำริ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบความยากลำบากดังกล่าว   ให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤติ  โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำ ได้โดยไม่เดือดร้อนและยากลำบากนัก  พระราชดำรินี้ ทรงเรียกว่า "ทฤษฎีใหม่" เป็นแนวทางหรือหลักการในการบริหารการจัดการที่ดินและน้ำ เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด



ทฤษฎีใหม่ : ทำไมใหม่ 
1. มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็ก ออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกร ซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อน
2. มีการคำนวณโดยหลักวิชาการ เกี่ยวกับปริมาณน้ำที่จะกักเก็บให้พอเพียง ต่อการเพาะปลูกได้ตลอดปี
3. มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบ สำหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง 3 ขั้นตอน




ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น
การจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน
ให้แบ่งพื้นที่ ออกเป็น 4 ส่วน ตามอัตราส่วน 30:30:30:10 ซึ่งหมายถึง
-พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง ประมาณ 30% ให้ขุดสระเก็บกักน้ำ เพื่อใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝนและ ใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์น้ำและพืชน้ำต่าง ๆ
-พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ 30% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝน เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน สำหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้
-พื้นที่ส่วนที่สาม ประมาณ 30% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน หากเหลือบริโภคก็นำไปจำหน่าย
-พื้นที่ส่วนที่สี่ ประมาณ 10% เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์และโรงเรือนอื่น ๆ


หลักการและแนวทางสำคัญ 
1.เป็นระบบการผลิตแบบพอเพียง ที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงตัวเองได้ในระดับที่ประหยัดก่อน ทั้งนี้ชุมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำนองเดียวกับการ "ลงแขก" แบบดั้งเดิม เพื่อลดค่าใช้จ่าย
2.เนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักที่ทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค ดังนั้น จึงประมาณว่าครอบครัวหนึ่งทำนา 5 ไร่  จะทำให้มีข้าวพอกินตลอดปี  โดยไม่ต้องซื้อหาในราคาแพง   เพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมีอิสรภาพ
3.ต้องมีน้ำเพื่อการเพาะปลูกสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง   หรือระยะฝนทิ้งช่วงได้อย่างพอเพียง  ดังนั้น   จึงจำเป็น ต้องกันที่ดินส่วนหนึ่งไว้ขุดสระน้ำ   โดยมีหลักว่าต้องมีน้ำเพียงพอที่จะทำการเพาะปลูกได้ตลอด ปี ทั้งนี้ได้พระราชทานพระราชดำริเป็นแนวทางว่า ต้องมีน้ำ 1,000  ลูกบาศก์เมตร  ต่อการเพาะ ปลูก  1  ไร่ โดยประมาณ  ฉะนั้น  เมื่อทำนา  5  ไร่  ทำพืชไร่หรือไม้ผลอีก  5  ไร่  (รวมเป็น  10  ไร่)  จะต้องมีน้ำ 10,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี
        ดังนั้น หากมีพื้นที่ 15 ไร่ จึงมีสูตรคร่าว ๆ ว่า แต่ละแปลงประกอบด้วย
 - นา 5 ไร่
 - พืชไร่พืชสวน 5 ไร่
 - สระน้ำ 3 ไร่ ลึก 4 เมตร จุประมาณ 19,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็น ปริมาณน้ำที่เพียง  พอที่จะสำรองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง
 - ที่อยู่อาศัยและอื่น ๆ 2 ไร่   รวมทั้งหมด 15 ไร่
4.การจัดแบ่งแปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณและคำนึงจากอัตราถือครองที่ดินถัวเฉลี่ยครัว เรือนละ 15 ไร่ อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรมีพื้นที่ถือครองน้อยกว่าหรือมากกว่านี้ ก็สามารถใช้อัตราส่วน 30:30:30:10 ไปเป็นเกณฑ์ปรับใช้ได้ กล่าวคือ
30% ส่วนแรก ขุดสระน้ำ (สามารถเลี้ยงปลา ปลูกพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด ฯลฯ ได้ด้วย)
30% ส่วนที่สอง ทำนา
30% ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้สร้างบ้าน พืชไร่ พืชผัก สมุนไพร เป็นต้น)
10% สุดท้าย เป็นที่อยู่อาศัยและอื่นๆ (ถนน คันดิน กองฟาง ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักสวนครัวหลังบ้าน เป็นต้น)
   อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวเป็นสูตรหรือหลักการโดยประมาณเท่านั้น สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมโดยขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นที่ดิน ปริมาณน้ำฝนและสภาพแวดล้อม เช่น ในกรณีภาคใต้ที่มีฝนตกชุกกว่าภาคอื่น หรือหากพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำมาเติมสระได้ต่อเนื่อง ก็อาจลดขนาดของบ่อหรือสระน้ำให้เล็กลง เพื่อเก็บพื้นที่ไว้ใช้ประโยชน์อื่นต่อไปได้
   เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ลงมือปฏิบัติตามขั้นที่หนึ่งในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ฉะนั้น เกษตรกรก็จะพัฒนาตนเองไปสู่ขั้นพออยู่พอกิน เพื่อให้มีผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงควรที่จะต้องดำเนินการตามขั้นที่สอง และขั้นที่สาม ต่อไปตามลำดับ


 ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง
เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือ  ให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูป กลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรง ร่วมใจกันดำเนินการในด้าน
(๑) การผลิต (พันธุ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ)
        - เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิตโดยเริ่มตั้งแต่ ขั้นเตรียมดิน การหาพันธุ์พืช ปุ๋ย การหาน้ำ และอื่น ๆ เพื่อการเพาะปลูก
(๒) การตลาด (ลานตากข้าว ยุ้ง เครื่องสีข้าว การจำหน่ายผลผลิต)
        - เมื่อมีผลผลิตแล้ว จะต้องเตรียมการต่าง ๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุ้งรวบรวมข้าว เตรียมหาเครื่องสีข้าว ตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดี และลดค่าใช้จ่ายลงด้วย
 (๓) ความเป็นอยู่(กะปิ น้ำปลา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ)
        - ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร โดยมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น อาหารการกินต่าง ๆ กะปิ น้ำปลา เสื้อผ้า ที่พอเพียง
 (๔) สวัสดิการ (สาธารณสุข เงินกู้)
        - แต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริการที่จำเป็น เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อยามป่วยไข้ หรือมีกองทุนไว้กู้ยืมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน
 (๕) การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา)
        - ชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา เช่น มีกองทุนเพื่อการศึกษาเล่าเรียนให้แก่เยาวชนของชุมชนเอง
(๖) สังคมและศาสนา
        - ชุมชนควรเป็นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว
        กิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าส่วนราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนนั้นเป็นสำคัญ

ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สาม
เมื่อดำเนินการผ่านพ้นขั้นที่สองแล้ว เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไป คือ ติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้านเอกชนมาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคารกับบริษัท จะได้รับประโยชน์ร่วมกันกล่าวคือ
1. เกษตรกรขายข้าวได้ในราคาสูง(ไม่ถูกกดราคา)
2. ธนาคารกับบริษัทสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ (ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง)
3. เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคได้ในราคาต่ำ เพราะรวมกันซื้อเป็นจำนวนมาก (เป็นร้านสหกรณ์ ราคาขายส่ง)
4. ธนาคารกับบริษัทจะสามารถกระจายบุคลากร (เพื่อไปดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น)


 ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่
จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานในโอกาสต่าง ๆ นั้น พอจะสรุปถึงประโยชน์ของทฤษฎีใหม่ได้ ดังนี้
1. ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยาก และเลี้ยงตนเองได้
2. ในหน้าแล้งมีน้ำน้อยก็สามารถเอาน้ำที่เก็บไว้ในสระ มาปลูกพืชผักต่าง ๆ ได้ แม้แต่ข้าวก็ยังปลูกได้ โดยไม่ต้องเบียดเบียนชลประทาน
3. ในปีที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยมีน้ำดีตลอดปี ทฤษฎีใหม่นี้ก็สามารถสร้างรายได้ให้ร่ำรวยขึ้นได้
4. ในกรณีที่เกิดอุทกภัยก็สามารถที่จะฟื้นตัว และช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยทางราชการไม่ต้องช่วยเหลือมากเกินไป อันเป็นการประหยัดงบประมาณด้วยข้อสำคัญที่ควรพิจารณา
1)การดำเนินการตามทฤษฎีใหม่นั้น มีปัจจัยประกอบหลายประการ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในแต่ละท้องถิ่น ฉะนั้นเกษตรกรควรขอรับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ด้วย
2)การขุดสระน้ำนั้น จะต้องสามารถเก็บกักน้ำได้  เพราะสภาพดินในแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกัน เช่น ดินร่วน ดินทราย ซึ่งเป็นดินที่ไม่สามารถอุ้มน้ำได้ หรือเป็นดินเปรี้ยว ดินเค็ม ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับพืชที่ปลูกได้ ฉะนั้น จะต้องพิจารณาให้ดีและควรขอรับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่พัฒนาที่ดิน  หรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน
3) ขนาดพื้นที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณและคำนึงจากอัตราการถือครองที่ดิน   ถัวเฉลี่ยครัวเรือนละ  15  ไร่   แต่ให้พึงเข้าใจว่าอัตราส่วนเฉลี่ยขนาดพื้นที่นี้มิใช่หลักตายตัว  หากพื้นที่การถือครองของเกษตรกรจะมีน้อยกว่าหรือมากกว่านี้ ก็สามารถนำอัตราส่วน นี้ (30:30:30:10) ไปปรับใช้ได้
4)  การปลูกพืชหลายชนิด เช่น ข้าวซึ่งเป็นพืชหลัก ไม้ผล พืชผัก พืชไร่ และพืชสมุนไพร อีกทั้งยังมีการเลี้ยงปลา หรือสัตว์อื่น ๆ ซึ่งเกษตรกรสามารถนำมาบริโภคได้ตลอดทั้งปี เป็นการลดค่าใช้จ่ายในส่วนของอาหารสำหรับครอบครัวได้ และส่วนที่เหลือสามารถจำหน่ายได้เป็นรายได้แก่ครอบครัวได้อีก
5)   ความร่วมมือร่วมใจของชุมชน จะเป็นกำลังสำคัญในการปฏิบัติตามหลักทฤษฎีใหม่ เช่น การลงแรงช่วยเหลือกัน หรือที่เรียกว่าการลงแขก นอกจากจะทำให้เกิดความรักความสามัคคีในชุมชนแล้ว ยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานได้อีกด้วย
6)  ในระหว่างการขุดสระน้ำ จะมีดินที่ถูกขุดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก หน้าดินซึ่งเป็นดินดีควรนำไปกองไว้ต่างหาก เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชต่าง ๆ ในภายหลัง โดยนำมาเกลี่ยคลุมดินชั้นล่างที่เป็นดินไม่ดีซึ่งอาจนำมาถมทำขอบสระน้ำหรือยกร่องสำหรับปลูกไม้ผล
เงื่อนไขหรือปัญหาในการดำเนินงาน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2538   ณ ศาลาดุสิดาลัย มีความตอนหนึ่ง ดังนี้ "...การทำทฤษฎีใหม่นี้มิใช่ของง่ายๆ แล้วแต่ที่ แล้วแต่โอกาส และแล้วแต่งบประมาณ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ประชาชนทราบถึงทฤษฎีใหม่นี้กว้างขวางและแต่ละคนก็อยากได้ ให้ทางราชการขุดสระแล้วช่วย แต่มันไม่ใช่สิ่งง่ายนัก บางแห่งขุดแล้วไม่มีน้ำ แม้จะมีฝนน้ำก็อยู่ไม่ได้ เพราะว่ามันรั่ว หรือบางทีก็เป็นที่ที่รับน้ำไม่ได้ ทฤษฎีใหม่นี้จึงต้องมีพื้นที่ที่เหมาะสมด้วย...ฉะนั้น การที่ปฏิบัติตามทฤษฎีใหม่หรืออีกนัยหนึ่ง ปฏิบัติเพื่อหาน้ำให้แก่ราษฎร เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ง่าย ต้องช่วยกันทำ..." พืชที่ควรปลูกและสัตว์ที่ควรเลี้ยง      
ไม้ผลและผักยืนต้น  :   มะม่วง มะพร้าว มะขาม ขนุน ละมุด ส้ม กล้วย น้อยหน่า มะละกอ กระท้อน แคบ้าน มะรุม สะเดา ขี้เหล็ก กระถิน เป็นต้น        
 ผักล้มลุกและดอกไม้  :   มันเทศ เผือก ถั่วฝักยาว มะเขือ มะลิ ดาวเรือง บานไม่รู้โรย กุหลาบ รัก และซ่อนกลิ่น เป็นต้น
เห็ด  :  เช่น เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดเป๋าฮื้อ เป็นต้น
สมุนไพรและเครื่องเทศ   :  หมาก พลู พริกไทย บุก บัวบก มะเกลือ ชุมเห็ด หญ้าแฝก และพืชผักบางชนิด เช่น กระเพรา โหระพา สะระแหน่ แมงลัก และตะไคร้ เป็นต้น
ไม้ใช้สอยและเชื้อเพลิง  :  ไผ่ มะพร้าว ตาล มะขามเทศ สะแก ทองหลาง จามจุรี กระถิน ยูคาลิปตัส สะเดา ขี้เหล็ก ประดู่ ชิงชัน และยางนา เป็นต้น        
พืชไร่  :   ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วพุ่ม ถั่วมะแฮะ อ้อย มัน สำปะหลัง ละหุ่ง นุ่น เป็นต้น พืชไร่หลายชนิดอาจเก็บเกี่ยวเมื่อผลผลิตยังสดอยู่ และจำหน่ายเป็นพืชประเภทผักได้และมีราคาดีกว่าเก็บเมื่อแก่ พืชไร่เหล่านี้ ได้แก่ ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วพุ่ม ถั่วมะแฮะ อ้อย และมันสำปะหลัง เป็นต้น  การที่จะทำให้ทฤษฎีใหม่สมบูรณ์ได้นั้นคือ สระเก็บกักน้ำจะต้องทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเต็มความสามารถ โดยต้องมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถเพิ่มเติมน้ำในสระเก็บกักน้ำให้เต็มอยู่เสมอ ดังเช่นในกรณีของการทดลองที่วัดมงคลชัยพัฒนา จังหวัดสระบุรี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเสนอวิธีการ   ดังนี้


 ระบบทฤษฎีใหม่ที่สมบูรณ์ อ่างใหญ่ เติมอ่างเล็ก อ่างเล็ก เติมสระน้ำ
คือสระน้ำที่เกษตรกรขุดขึ้นตามทฤษฎีใหม่   เมื่อเกิดช่วงขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง   เกษตรกรสามารถสูบน้ำมาใช้ประโยชน์ได้ และหากน้ำในสระน้ำไม่เพียงพอก็ขอรับน้ำจากอ่างห้วยหินขาว (อ่างเล็ก)   ซึ่งได้ทำระบบส่งน้ำเชื่อมต่อลงมายังสระน้ำที่ได้ขุดไว้ในแต่ละแปลงซึ่งจะช่วยให้สามารถมีน้ำใช้ตลอดปี

กรณีที่เกษตรกรใช้น้ำกันมาก อ่างห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ก็อาจมีปริมาณน้ำไม่พอเพียง หากโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักหรือมีโครงการใหญ่ที่สมบูรณ์แล้ว ก็ใช้วิธีการผันน้ำจากป่าสัก คืออ่างใหญ่ ต่อลงมายังอ่างเก็บน้ำห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ก็จะช่วยให้มีปริมาณน้ำใช้มากพอตลอดปีสำหรับสระของเกษตรกร


 การอนุรักษ์ดินและน้ำ
การอนุรักษ์ดินและน้ำ  คือ  การใช้น้ำหรือการจัดการทรัพยากรดินและน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยป้องกันการชะล้างการพังทลายของดิน  และการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สามารถทำการเกษตรได้ตลอดไป
การอนุรักษ์ดิน เพื่อรักษาความสามารถในการผลิตของดินให้ยืนนาน   และเพิ่มผลผลิตต่อหน่วยเนื้อที่ดิน


หลักการอนุรักษ์ดิน
1. ลดอัตราการกัดกร่อนของดิน
2. เพิ่มหรือรักษาระดับปริมาณของธาตุอาหารและอินทรียวัตถุในดินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
3. ปรับปรุงโครงสร้างของดินให้อยู่สภาพที่เหมาะสม
4. ทำให้สามารถใช้น้ำอย่างประหยัด
การอนุรักษ์น้ำ   ทรัพยากรน้ำมีความสำคัญเหมือนกับทรัพยากรดิน  ดังนั้นกิจกรรมการอนุรักษ์น้ำจึงต้องมีการดำเนินการควบคู่กันไป


หลักการอนุรักษ์น้ำ
1. ลดการป้องกันการสูญเสียน้ำโดยการระเหยของน้ำบนผิวดิน
2. เพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อให้ดินมีความชุ่มชื้นนานที่สุด
3. ให้มีการใช้น้ำอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด


พื้นที่การอนุรักษ์ดินและน้ำ
จากรายงานของกรมพัฒนาที่ดิน (2538)  ได้ระบุว่าในปี พ.ศ. 2524  มีพื้นที่ดินที่เกิดปัญหาการ     ชะล้างพังทลายในระดับความรุนแรงมาก   มีพื้นที่ 107.69 ล้านไร่  พื้นที่ดังกล่าวกระจายอยู่ตามภาคต่าง ๆ  ของประเทศที่พบมากที่สุด  คือ  บริเวณที่มีความลาดชันทางภาคเหนือ  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและ     ภาคตะวันออก   ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นป่าไม้ที่ถูกบุกรุกถากถาง  เพื่อขยายพื้นที่ทำการเพาะปลูกในปี พ.ศ. 2538  มีพื้นที่ดินที่เกิดปัญหาการชะล้างพังทลายเพิ่มขึ้นเป็น 134.54 ล้านไร่   ซึ่งพื้นที่จำเป็นต้องมี  การจัดการโดยวิธีการอนุรักษ์ดินและน้ำ
วิธีการอนุรักษ์ดินและน้ำ  คือ  วิธีการที่นำมาใช้ในพื้นที่หนึ่งโดยมีวัตถุประสงค์  เพื่อยับยั้งหรือชะลออัตราการชะล้างพังทลายของดิน  โดยอาศัยหลักการสำคัญ  คือ  เมื่อฝนตกลงมาในที่ใดที่หนึ่งจะพยายามให้มี  การเก็บกักน้ำไว้  ณ  ที่นั้น   เพื่อให้น้ำไหลซึมลงไปในดินเป็นประโยชน์แก่พืชที่ปลูก


วิธีการอนุรักษ์ดินและน้ำโดยใช้ระบบพืช
เป็นวิธีการจัดระบบพืชโดยการผสมผสานกันระหว่างมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำและการจัดการระบบพืชปลูก ได้แก่
1.   การปลูกพืชเป็นแถบ
2.   การปลูกพืชตามแนวระดับ
3.   การปลูกพืชคลุมดิน
4.   การปลูกพืชบำรุงดิน
5.   การปลูกพืชแซม
6.   การปลูกพืชเหลื่อมฤดู
7.   การปลูกพืชหมุนเวียน
8.   การปลูกแถบหญ้าตามแนวระดับ
9.   การปลูกพืชไม้พุ่มเป็นแถบตามแนวระดับ
10.   การทำคันเศษซากพืชตามแนวระดับ
วิธีการอนุรักษ์ดินและน้ำโดยใช้ระบบพืช จะต้องปฏิบัติดังนี้
1.   ไม่เผาทำลายเศษซากพืช
2.   ไม่ทำไร่เลื่อนลอย
3.   ไถพรวนให้ถูกวิธี ไม่ไถพรวนขึ้นลงตามความลาดเทของพื้นที่แต่ไถพรวนขวางความลาดเทของพื้นที่และไม่ทำการไถพรวนบ่อยครั้ง
4.   ปลูกพืชให้ถูกวิธี ปลูกพืชตระกูลถั่วบำรุงดินคลุมดินและปลูกตามแนวระดับ
5.   ปรับปรุงบำรุงดิน ใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด
6.   บนพื้นที่ที่มีความลาดชันสูงเกิน 35 เปอร์เซ็นต์   ไม่ควรทำการเกษตร  แต่ถ้ามีความจำเป็นจะต้องทำคันดินเป็นขั้นบันไดขวางความลาดเทของพื้นที่   จัดทำร่องน้ำและแหล่งเก็บกักน้ำให้ไหลลงเฉพาะแห่ง และยกร่องปลูกพืชบนแนวคันดินระดับเดียวกัน

วันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

การใช้สารเคมีทางการเกษตรอย่างถูกต้องและเหมาะสม


1. ห้ามใช้สารเคมีที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ตามเอกสารสนับสนุน  รายชื่อวัตถุอันตรายห้ามใช้ในการเกษตร  และต้องใช้สารเคมีให้สอดคล้องกับรายการสารเคมีที่ประเทศคู่ค้าอนุญาตให้ใช้
2. อ่านฉลากคำแนะนำ เพื่อให้ทราบคุณสมบัติ และวิธีการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชก่อนปฏิบัติงานทุกครั้ง
3. ผู้ประกอบการและแรงงานที่ปฏิบัติงานด้านการป้องกันกำจัดศัตรูพืช  ควรรู้จักศัตรูพืช  ชนิดและอัตราการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช  การเลือกใช้เครื่องพ่นและอุปกรณ์หัวฉีด  รวมทั้งวิธีการพ่นสารเคมีที่ถูกต้อง  โดยต้องตรวจสอบเครื่องพ่นสารให้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้งานตลอดเวลา  เพื่อป้องกันสารพิษเปื้อนเสื้อผ้าและร่างกายของผู้พ่น  ต้องสวมเสื้อผ้าอุปกรณ์ป้องกันสารพิษ  ได้แก่ หน้ากากหรือผ้าปิดจมูก  ถุงมือ  หมวก และรองเท้าเพื่อป้องกันอันตรายจากสารพิษ
4. เตรียมสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช  และใช้ให้หมดในคราวเดียว  ไม่ควรเหลือติดค้างในถังพ่น
5. ปิดฝาภาชนะบรรจุสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชให้สนิทเมื่อเลิกใช้  และเก็บในสถานที่เก็บสารเคมี
6. เมื่อใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชหมดแล้ว  ให้ล้างภาชนะบรรจุสารเคมีด้วยน้ำ  2-3  ครั้ง  แล้วเทลงในถังพ่นสารเคมี  ปรับปริมาณน้ำตามความเข้มข้นที่กำหนด  ก่อนนำไปใช้พ่นป้องกันกำจัดศัตรูพืช
7. ควรพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในช่วงเช้าหรือเย็นขณะลมสงบ  หลีกเลี่ยงการพ่นในเวลาแดดจัดหรือลมแรง  และขณะปฏิบัติงานผู้พ่นต้องอยู่เหนือลมตลอดเวลา
8. หลังจากพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชทุกครั้ง  ผู้พ่นต้องอาบน้ำ  สระผม  และเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที  เสื้อผ้าที่ใส่ขณะพ่นสารต้องซักให้สะอาดทุกครั้ง
9. ต้องหยุดใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชก่อนการเก็บเกี่ยวตามที่ระบุไว้ในฉลากกำกับการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชแต่ละชนิด
10. ให้ปฏิบัติตามแผนควบคุมการผลิตของสับปะรดโรงงาน

ความสะอาดปลอดภัยและกำจัดของเสียและวัสดุเหลือใช้
1. ภาชนะบรรจุสารเคมีที่ใช้หมดและล้างสารเคมีออกหมดแล้วตามคำแนะนำในข้อ 6  ต้องไม่นำกลับมาใช้อีก  และต้องทำให้ชำรุดเพื่อป้องกันการนำกลับมาใช้  แล้วนำไปทิ้งในสถานที่ที่จัดไว้สำหรับทิ้งภาชนะบรรจุสารเคมีโดยเฉพาะ หรือทำลายโดยการฝังดินห่างจากแหล่งน้ำ  และให้มีความลึกมากพอที่สัตว์ไม่สามารถคุ้ยขึ้นมาได้ ห้ามเผาทำลาย
2. ส่วนต่างๆของพืชที่มีโรคและแมลงเข้าทำลายต้องเผาทำลายนอกแปลง
3. เศษพืช  หรือกิ่งที่ตัดแต่งจากต้นไม้และไม่มีโรคเข้าทำลาย  สามารถนำมาทำเป็นปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยพืชสดได้
4. จำแนก  และแยกประเภทของขยะให้ชัดเจน  เช่น กระดาษ  กลิ่งกระดาษ  พลาสติก  แก้ว  น้ำมัน  สารเคมี และเศษซากพืช เป็นต้น  รวมทั้งควรมีถังขยะวางให้เป็นระเบียบ หรือระบุจุดทิ้งขยะให้ชัดเจน

การตรวจสภาพ  และการซ่อมบำรุง
1. มีการตรวจสภาพเครื่องมือและอุปกรณ์การเกษตร เช่น  เครื่องพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช  อุปกรณ์การเก็บเกี่ยว  ก่อนนำออกไปใช้งาน  และต้องทำความสะอาดทุกครั้งหลังใช้งานเสร็จแล้ว และก่อนนำไปเก็บในสถานที่เก็บ
2. มีการตรวจซ่อมบำรุงรักษาเครื่องมือและอุปกรณ์การเกษตร  ตามแผนการบำรุงรักษาที่กำหนดไว้  พร้อมทั้งบันทึกผลการตรวจซ่อมทุกครั้ง  ลงใบแบบบันทึก
3. เครื่องมือ  อุปกรณ์  และภาชนะที่ใช้ในการบรรจุ  และขนส่งผลผลิต  ต้องมีการทำความสะอาดทุกครั้งก่อนการใช้งาน  และเมื่อใช้งานเสร็จแล้วต้องทำความสะอาดก่อนนำไปเก็บ
4. กรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ต้องอาศัยความเที่ยงตรงในการปฏิบัติงาน  ต้องมีการตรวจสอบความเที่ยงตรงอย่างสม่ำเสมอแล้วแต่กรณี  หากพบว่ามีความคลาดเคลื่อนต้องดำเนินการปรับปรุง  ซ่อมแซม  หรือเปลี่ยนใหม่  เพื่อให้อุปกรณ์ดังกล่าวมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานเมื่อนำมาใช้งาน

หลักการใช้สารกำจัดวัชพืช
การป้องกันกำจัดวัชพืชโดยใช้สารเคมีนั้น  เป็นวิธีการที่กำลังได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย  เพราะเชื่อว่าการใช้สารกำจัดวัชพืชเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานได้  โดยที่การใช้สารกำจัดวัชพืชอาจใช้ต้นทุนต่ำกว่าการกำจัดด้วยวิธีการอื่น ๆ อย่างไรก็ดีการใช้สารกำจัดวัชพืชแต่ละครั้งต้องพิจารณาถึงข้อดี – ข้อเสีย

วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การจัดการโรคพืช


แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วสารกำจัดเชื้อราและสารกำจัดเชื้อแบคทีเรีย  จะมีความเป็นพิษต่ำกว่าสารกำจัดแมลง   แต่เราก็ควรพยายามลดการใช้สารเหล่านั้นเท่าที่จะเป็นไปได้  ในระบบการจัดการศัตรูพืชวิธีผสมผสานนั้นจะต้องมีการค้นหาวิธีการอื่นๆ มาใช้จัดการโรคพืชเป็นลำดับแรก
การจัดการศัตรูพืชนั้นมีอยู่หลายวิธี แต่เกษตรกรหลายๆคนมักเลอกใช้วิธีการควบคุมด้วยสารเคมีกำจัดแมลงสังเคราะห์  ซึ่งเป็นวิธีการที่อันตรายและเกิดการทำลายล้างสูงที่สุด  ซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม  สารกำจัดศัตรูพืชสังเคราะห์ควรจะเป็นเพียงทางเลือกสุดท้ายหลังจากที่ได้ลองใช้ทางเลือกอื่นๆ แล้ว
การจัดการแมลงสามารถทำได้โดย:

1.การใช้พืชพันธุ์ต้านทานหรือทนทาน

2.การปลูกพืชหมุนเวียน

3.การปลูกพืชสลับ

4.สารสกัดจากพืช (เช่น สกัดจากสะเดา)

5.ชีวภัณฑ์: โรคแมลง
-  บาซิลลัส ทูริงเยนซิส (บีที)
-  เชื้อไวรัส เอ็น พี วี
-  ไส้เดือนฝอยสไตเนอร์นีมา
-  เชื้อราบิวเวอร์เรีย

6.การควบคุมทางชีวภาพ
-  ตัวห้ำ
-  ตัวเบียน

7.การใช้กับดัก
-  เช่น กับดักกาวเหนียวสีเหลือง

8.การจัดการสภาพอากาศในแปลงปลูกพืช
-  การตัดแต่ง
-  การถอนแยก
-  การให้น้ำ
-  การคลุมดิน

9.การควบคุมด้วยสารเคมี
-  ใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น
-  เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีพิษต่ำที่สุดที่สามารถหาได้
-  หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต และคาร์บาเมต
-  ห้ามใช้สารเคมีก่อมะเร็ง หรือสารที่มีผลยับยั้งต่อมไร้ท่อ
-  ก่อนการใช้สารเคมีใดๆ ควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีชนิดนั้นๆ ก่อน

วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2560

โรคพืชผักและการป้องกันกำจัดศัตรูพืช


โรครากเน่า รากของต้นพืชเกิดอาการเน่าสีดำ หรือสีน้ำตาล เปลือกหลุดล่อน เกิดได้จากการทำลายของเชื้อรา และน้ำท่วมขัง  ใช้ยา Terraclor

โรครากปม รากต้นพืชมีอาการบวมพองออก ลักษณะเป็นปุ่มปม อาการพองหรือปมจะเกิดจากภายในรากออกมา มักเกิดจากการทำลายของไส้เดือนฝอย ใช้วิธีปล่อยน้ำท่วม

โรคเน่าคอดิน หรือโรคต้นกล้าเน่า บริเวณโคนต้นพืช เกิดแผลเน่าและมีการลุกลามขยาย โดยมักทำให้เปลือกต้นเน่าเป็นสีน้ำตาลหรือสีดำ   หากถากเปลือกออก  ส่วนเนื้อลำต้นมักมีอาการของแผลเน่าสีน้ำตาล หรือสีน้ำตาลแดง   ส่วนมากเกิดจากการทำลายของเชื้อรา ใช้ยา Thiram

โรคยอดแห้งตาย อาการแห้งตาย  จะพบที่ยอดก่อน ต่อมาจะลุกลามมาตามกิ่งก้าน  จนในที่สุดอาจตายทั้งกิ่งหรือทั้งต้นได้ โรคนี้ส่วนมากเกิดจากเชื้อราเช่น  โรคยอดแห้งของส้มและมะนาว เป็นต้น ต้นพืชหลายชนิดที่ปลูกในบ้านอาจเกิดอาการยอดแห้งตาย เนื่องจากถูกแสงแดดจัดเผา หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้หลายสาเหตุ ใช้ยา Metalaxyl

โรคใบจุด เกิดเป็นแผลที่ใบ มีรูปร่างแตกต่างกันแล้วแต่สาเหตุที่เข้าทำลาย ขนาดของแผลอาจเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ บนใบ อาจเกิดกระจายกันทั่วทั้งใบ ถ้าเกิดจุดแผลมาก ๆ อาจจะทำให้ใบแห้งได้ โรคใบจุดของพืชส่วนมากเกิดจากเชื้อราและแบคทีเรีย เช่น โรคใบจุดของถั่วเขียว โรคใบจุดของคึ่นฉ่าย  โรคใบจุดของถั่วฝักยาว เป็นต้น  ใช้ยา Mancozeb

โรคใบไหม้ เกิดแผลแห้งตาย ขนาดของแผลใหญ่กว่าอาการใบจุด ขอบเขตของแผลจะลุกลามขยายได้กว้างขวางกว่า  การไหม้อาจเกิดที่กลางใบ  ปลายใบ  หรือขอบใบก็ได้  ส่วนมากเกิดจากเชื้อราและแบคทีเรีย เช่น โรคใบไหม้ของทานตะวัน โรคใบไหม้ของเบญจมาศ เป็นต้น ใช้ยา Matalaxyl

โรคแอนแทรคโนส ใบพืชที่เกิดโรคนี้ จะเป็นแผลแห้งสีน้ำตาล ส่วนมากจะเห็นเชื้อรามีลักษณะเรียงเป็นวงซ้อน ๆ  กันค่อนข้างชัดเจนในบางพืช  โรคนี้เกิดได้ทั้งบนใบ กิ่ง และผล สาเหตุเกิดจากเชื้อรา  เช่น โรคแอนแทรคโนสของพริก มะละกอ  มะม่วง  กล้วยไม้  และไม้ใบประดับหลายชนิด ใช้ยา Benomyl, Mancozeb

โรคราน้ำค้าง อาการโรคราน้ำค้างพบมากในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น ข้าวโพด มักพบอาการใบลายเป็นแถบสีเหลืองเขียวสลับกันตามความยาวของใบ  ถ้าอากาศชื้น ๆ อุณหภูมิพอเหมาะ จะพบผลสปอร์ของเชื้อสีขาว ๆ เกาะติดที่ใบ ในพืชใบเลี้ยงคู่ เช่น พืชตระกูลแตง จะเห็นใบมีอาการเป็นแผลจุดเหลี่ยมสีน้ำตาลใช้ยา Metalaxyl

โรคราแป้งขาว โรคนี้เกิดจากเชื้อรา โดยจะพบผงแป้งสีขาวๆ เกาะติดที่ใบ คล้าย ๆ กับเอาแป้งไปโรยคลุมกระจายตามส่วนต่างๆ ของใบ หรือทั่วทั้งใบ ต่อมาใบจะเหลืองและแห้งตาย เช่น โรคราแป้งขาวของบานชื่น  และโรคราแป้งขาวของกุหลาบ  เป็นต้น ใช้ยา Benomyl

โรคราดำ โรคนี้จะมีอาการเป็นผงคล้ายเขม่าดำคลุมผิวใบ หรือส่วนอื่น ๆ ของพืช เมื่อใช้มือลูบผงสีดำ ซึ่งเป็นส่วนของเส้นใยและสปอร์ของเชื้อราจะหลุดออก เชื้อราชนิดนี้  จะไม่แทงเข้าไปในใบพืช เพียงแต่ขึ้นเจริญปกคลุมผิวใบ ส่วนมากพบภายหลังการทำลายของเพลี้ยจักจั่น  เพลี้ยแป้ง  หรือแมลงหวี่ขาว เนื่องจากราชนิดนี้จะขึ้นเจริญบนน้ำหวานที่แมลงเหล่านั้นขับถ่ายออกมา  โรคนี้ที่พบมาก เช่น  โรคราดำของมะม่วง โรคราดำของมะยม ใช้ยา Zineb

โรคใบด่าง มีหลายลักษณะ แล้วแต่สาเหตุที่ทำให้เกิดโรค อาจเกิดจากเชื้อไวรัส  เกิดจากการขาดธาตุอาหาร หรือลักษณะกลายพันธุ์ของพืช  สำหรับอาการใบด่างที่เกิดจากไวรัส   ส่วนมากมีสีเหลืองสลับเขียว  เนื้อใบไม่เรียบเป็นคลื่น   และใบมีรูปร่าง  ผิดปกติ เช่น โรคใบด่างของกล้วยไม้   โรคใบด่างของยาสูบ  และโรคใบด่างของผักต่าง ๆ  บางครั้งอาจจะพบอาการด่างเป็นวงแหวน เช่น  โรคใบด่างวงแหวนของมะละกอ  หรือโรคใบด่างวงแหวนของกุหลาบ   ต้องถอนเผาทำลายทิ้ง

โรคใบหงิก ใบจะหงิกม้วนงอเป็นคลื่น หรือมีอาการยอดหงิก ต้นพืชจะแคระแกร็น มีการเจริญเติบโตช้า และพืชทั้งต้นจะมีขนาดเล็กลง เมื่อเปรียบเทียบกับต้นปกติ โรคนี้เกิดจากไวรัส เช่น โรคใบหงิกของมะเขือเทศ โรคใบหงิกของยาสูบ เป็นต้น ต้องถอนทำลายทิ้ง

โรคใบขาว ใบจะมีสีขาวซีด และต้นแคระแกร็น  เนื่องจากพืชไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ตามปกติ เช่น โรคใบขาวของอ้อย   เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไฟโตพลาสมา   ทำให้อ้อยมีการแตกลำน้อย   และน้ำหนักของลำอ้อยลดลงมาก หรือโรคใบขาวของหญ้าแพรก โรคใบขาวของหญ้านวลน้อย หรือโรคใบขาวของหญ้ามาเลเซีย เป็นต้น พืชหลายชนิดที่ปลูกในกระถางเป็นเวลานาน ๆ และไม่มีการเปลี่ยนดิน  หรือเครื่องปลูก มักทำให้ดินแน่นและต้นพืชเกิดการขาดอาหาร ต้นพืชอาจแสดงอาการซีดเหลืองได้เช่นกัน

โรคเมล็ดเน่า-เมล็ดด่าง เมล็ดจะเน่าและไม่สามารถงอกเป็นต้นใหม่ได้  เพราะมีเชื้อโรคหลายชนิดเข้าทำลาย เช่น เชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น  มักเกิดขึ้นในกรณีที่เก็บรักษาเมล็ดไม่ดี เช่น  เมล็ดที่มีความชื้นสูง หรือเปียกน้ำ หรืออาจมีเชื้อโรคติดปนเปื้อนอยู่กับเมล็ด

โรคเน่าเละ อาการเน่าเละสีน้ำตาลอ่อน มีกลิ่นเหม็นรุนแรง  เกิดได้ทั้งผล  ราก  หัว  และใบของพืชผัก เมื่อเป็นโรคนี้ ผักจะเน่าเละทั้งต้น หรือทั้งหัว   สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคเน่าเละของปทุมมาและกระเจียว โรคเน่าเละของชวนชม โป๊ยเซียน กระบองเพชรและกุหลาบหิน

โรคเหี่ยว ต้นพืชอาจแสดงอาการเหี่ยวเฉาในลักษณะต่างๆ กัน เช่น  การเหี่ยวเนื่องจากการขาดน้ำ เมื่อได้น้ำก็จะฟื้นปกติ อาการเหี่ยวใบเหลืองลู่ เนื่องจากเชื้อราไปทำลายท่อน้ำ  และท่ออาหารของพืช สาเหตุโรคเหี่ยวเกิดจากการทำลายของเชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด เช่น  โรคเหี่ยวของมะเขือเทศ โรคเหี่ยวของพืชตระกูลแตง โรคเหี่ยวของกล้วย โรคเหี่ยวของพริก เป็นต้น

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

น้ำส้มควันไม้


น้ำส้มควันไม้ ควันที่เกิดจากการเผาถ่าน   ในช่วงที่ไม้กำลังเปลี่ยนเป็นถ่าน เมื่อทำให้เย็นลงจนควบแน่นแล้วกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ  ของเหลวที่ได้นี้ได้เรียก  น้ำส้มควันไม้ ส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดอะซิติกมีความเป็นกรดต่ำมีสีน้ำตาลแดง  นำน้ำส้มควันไม้ที่ได้ทิ้งไว้ในภาชนะพลาสติกประมาณ  3  เดือน   เก็บไว้ในที่ร่มมาสั่นสะเทือน เพื่อให้นำส้มควันไม้ที่ได้ตกตะกอนและแยกตัวเป็น 3 ชั้น คือ  น้ำมันเบา  น้ำส้มไม้  และน้ำมันทาร์ จากนั้นแยกน้ำส้มไม้มาใช้ประโยชน์ต่อไป
น้ำส้มควันไม้ผลพลอยได้จากการเผาถ่าน
        เตาเผาถ่าน 200 ลิตร  เป็นเตาที่มีประสิทธิภาพสูง  เตาประเภทนี้อาศัยความร้อนไล่ความชื้นในเนื้อไม้ที่มีอยู่ในเตา ทำให้ไม้กลายเป็นถ่าน  หรือเรียกว่ากระบวนการคาร์บอนไนเซชั่น  ผลผลิตที่ได้จึงเป็นถ่านที่มีคุณภาพ ขี้เถ้าน้อยและผลพลอยได้จากการเผาถ่านคือ น้ำส้มควันไม้

ขั้นตอนการเผา
ช่วงที่ 1 ไล่ความชื้นหรือคลายความร้อน
เริ่มจุดไฟเตา บริเวณที่อยู่หน้าเตา ใส่เชื้อเพลิงให้ความร้อนกระจายเข้าสู่เตาเพื่อไล่อากาศเย็นและความชื้นที่อยู่ในเตาและในเนื้อไม้ควันที่ออกมาจากปล่องควันจะมีสีขาว ควันจะมีกลิ่นเหม็นซึ่งเป็นกลิ่นของกรดประเภทเมธานนอลที่อยู่ในเนื้อไม้  อุณหภูมิปากปล่องควันประมาณ 70 – 75 องศาเซลเซียส อุณหภูมิในเตาประมาณ 150 องศาเซลเซียส ใส่เชื้อเพลิงต่อไป ควันสีขาวตรงปล่องควันจะเพิ่มขึ้น อุณหภูมิในเตาประมาณ 20 – 25 องศาเซลเซียส ควันมีกลิ่นเหม็นฉุน

ช่วงที่ 2 เมื่อไม้กลายเป็นถ่าน หรือปฏิกิริยาคลายความร้อน
เมื่อเผาไปอีกระยะหนึ่ง  ควันสีขาวจะเริ่มบางลงและเปลี่ยนเป็นสีเทาอุณหภูมิบริเวณปากปล่องควัน ประมาณ 80 – 85 องศาเซลเซียส อุณหภูมิภายในเตาประมาณ 300 – 400 องศาเซลเซียส ไม้ที่อยู่ในเตาจะคลายความร้อนที่สะสมเอาไว้เพียงพอที่จะทำให้อุณหภูมิในเตาเพิ่มสูงขึ้น  ในช่วงนี้ค่อยๆ ลดการป้อนเชื้อเพลิงลงจนหยุดป้อนเชื้อและเริ่มเก็บน้ำส้มควันไม้  หลังจากหยุดการป้อนเชื้อเพลิงหน้าเตา  จะต้องควบคุมอากาศ โดยการหรี่หน้าเตา  หรือลดพื้นที่หน้าเตาลงให้เหลือช่องพื้นที่หน้าเตาประมาณ 20 – 30 ตารางเซนติเมตร สำหรับให้อากาศเข้า  เพื่อรักษาระดับของอุณหภูมิในเตาไว้ให้นานที่สุด   ช่วงที่เหมาะสมกับการเก็บน้ำส้มควันไม้ควรมีอุณหภูมิบริเวณปากปล่องคันประมาณ 85 – 120 องศาเซลเซียส   เนื่องจากเป็นช่วงสารในเนื้อไม้ถูกขับออกมาจากนั้นควันก็เปลี่ยนจากสีเทาเป็นสีน้ำเงิน  จึงหยุดเก็บน้ำส้มควันไม้อุณหภูมิบริเวณปากปล่องควันประมาณ 100 – 200 องศาเซลเซียส อุณหภูมิในเตาประมาณ 400 – 450 องศาเซลเซียส

ช่วงที่ 3 ช่วงทำถ่านให้บริสุทธิ์
ขั้นตอนนี้เป็นช่วงที่ไม้จะเปลี่ยนเป็นถ่าน  ต้องทำการเพิ่มอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว  โดยการเปิดหน้าเตา ประมาณ1 ใน 3 ของหน้าเตาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที  เมื่อควันสีน้ำเงินเป็นสีฟ้าแสดงว่าไม้เริ่มเป็นถ่านใกล้หมด จากนั้นควันสีฟ้าอ่อนลงและจะกลายเป็นควันใสแทนเมื่อมีควันใสเริ่มทำการปิดหน้าเตา โดยใช้ดินเหนียวปิดรอยรั่วจากนั้นทำการปิดปล่องควันให้สนิทและอุดรูรั่วทั้งหมด  ไม่ให้อากาศภายนอกผ่านเข้าได้

ช่วงที่ 4 ช่วงการทำให้ถ่านในเตาเย็นลง
เกลี่ยดินบนเตาออกให้เห็นหลังเตาเพื่อระบายความร้อนในเตา  จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 1 คืน  หรือประมาณ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย  เพื่อให้ถ่านดับสนิทแล้วจึงเริ่มการเปิดเตา  เพื่อนำถ่านออกจากเตาและนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
ผลผลิตที่ได้จากการเผาถ่านไม้เงาะ 100 กิโลกรัม
   - น้ำส้มควันไม้      8   ลิตร
   - ถ่าน         25   กิโลกรัม
อัตราส่วน
น้ำส้มควันไม้: น้ำ   การใช้ประโยชน์
1 : 20 - พ่นลงดินเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นประโยชน์และแมลงในดิน   ซึ่งควรทำก่อนการเพาะปลูก 10 วัน
1 : 50 - พ่นลงดินเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำลายพืช หากใช้ความเข้มข้นที่มากกว่านี้  รากพืชจะได้รับอันตราย
1 : 100 - ราดโคนต้นไม้รักษาโรครา  และโรคเน่ารวมทั้งป้องกันแมลงมาวางไข่
1 : 200 - พ่นใบไม้รวมทั้งพื้นดินรอบๆต้นพืชทุก ๆ 7-15 วันเพื่อขับไล่แมลงและป้องกันเชื้อรา และรดโคนต้นไม้เพื่อเร่งการเจริญเติบโต
1 : 500 - พ่นผลอ่อนหลังจากติดผลแล้ว 15 วัน ช่วยขยายผลให้โตขึ้นและพ่นอีกครั้งก่อนเก็บเกี่ยว 20 วัน เพื่อเพิ่มน้ำตาลในผลไม้
1 : 1,000   - พ่นลงดินเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นประโยชน์และแมลงในดิน   ซึ่งควรทำก่อนการเพาะปลูก 10 วัน
- พ่นลงดินเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำลายพืช หากใช้ความเข้มข้นที่มากกว่านี้  รากพืชจะได้รับอันตราย
- ราดโคนต้นไม้รักษาโรครา  และโรคเน่ารวมทั้งป้องกันแมลงมาวางไข่
- พ่นใบไม้รวมทั้งพื้นดินรอบๆต้นพืชทุก ๆ 7-15 วันเพื่อขับไล่แมลงและป้องกันเชื้อรา และรดโคนต้นไม้เพื่อเร่งการเจริญเติบโต
พ่นผลอ่อนหลังจากติดผลแล้ว 15 วัน ช่วยขยายผลให้โตขึ้นและพ่นอีกครั้งก่อนเก็บเกี่ยว 20 วัน เพื่อเพิ่มน้ำตาลในผลไม้
เป็นสารจับใบ  เนื่องจากสารเคมีสามารถออกฤทธิ์ได้ดีในสารละลายที่เป็นกรดอ่อนๆ ช่วยเสริมประสิทธิภาพสารเคมีทำให้สามารถลดการใช้สารเคมีมากกว่าครึ่งด้วย

ข้อควรระวังในการใช้น้ำส้มควันไม้
   1.  ก่อนนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ ต้องทิ้งไว้จากการเก็บก่อนอย่างน้อย 3 เดือน
   2.  เนื่องจากน้ำส้มควันไม้มีความเป็นกรดสูง  ควรระวังอย่าให้เข้าตา อาจทำให้ตาบอดได้
   3.  น้ำส้มควันไม้ไม่ใช่ปุ๋ย แต่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ดังนั้นการนำไปใช้ทางการเกษตรจะเป็นตัวเสริมประสิทธิภาพให้กับพืช แต่ไม่สามารถใช้แทนปุ๋ยได้
   4.  การใช้เพื่อฆ่าจุลินทรีย์และแมลงในดินที่เป็นโทษควรทำก่อนเพาะปลูกอย่างน้อย 10 วัน
   5.  การนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ต้องผสมน้ำให้เจือจางตามความเหมาะสมที่จะนำไปใช้
   6.  การฉีดพ่นน้ำส้มควันไม้เพื่อให้ดอกติดผล   ควรพ่นก่อนที่ดอกจะบานหากฉีดพ่นหลังจากดอกบานแมลงจะไม่เข้ามาผสมเกสรเพราะมีกลิ่นฉุนของน้ำส้มควันไม้ และดอกจะหลุดร่วงง่าย

วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ระวัง! เด็กหลับคาขวดนม เสี่ยงฟันผุ


สาเหตุของฟันผุ เกิดจากการที่เด็ได้รับอาหารที่มีรสหวาน ทั้งนมหวานและน้ำผลไม้ต่างๆ ซึ่งแบคทีเรียที่อยู่ในปากจะย่อยน้ำตาลสร้างกรดขึ้นมาทำอันตรายต่อฟัน เมื่อเกิดซ้ำๆหลายๆครั้ง ก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฟันผุได้ ความถี่และระยะเวลาที่เด็กดูดดนมถือเป็นปัจจัยร่วม ที่ทำให้ฟันผุเช่นเดีนวกัน แต่การป้องกันฟันผุจากขวดนมสามารถทำได้ โดยทุกครั้งหลังการให้นมเด็ก ให้ใช้ผ้าหรือผ้าก๊อวที่สะอาดชุบน้ำหมาดๆ แล้วเช็ดบริเวณเหงือกของเด็กให้ทั่วทั้งปาก และควรเริ่มแปรงฟันให้เด็กทันทีที่ฟันน้ำนมซี่แรกขึ้นมาเมื่อเด้กอายุประมาณ 6 เดือน ให้ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ และจำกัดปริมาณของยาสีฟัน โดยแตะขนแปรงเป็นจุดเท่านั้น รวมทั้งให้ใช้ไหมขัดฟันให้เด็ก เมื่อเด็กมีฟันน้ำนมขึ้นครบทั้ง 20 ซี่แล้ว ประมาณ 2-3 ขวบ

ที่สำคัญพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือผู้เลี้ยงดูเด็ก ควรให้ความเอาใจใส่ในการทำความสะอาดฟันให้เด็กทุกวัยด้วยการแปรงฟันก่อนนอน ก็จะช่วยให้เด็กมีสุขภาพช่องปากที่ดีไปอีกนาน

วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560

"ข้าวเหนียวมะม่วง" กินอย่างไรไม่เสียสุขภาพ


      "ข้าวเหนียวมะม่วง" ขนมหวานไทยที่ได้รับความนิยมมานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าร้อน เป็นของหวานที่ให้พลังงานสูง แต่เป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆ คน ดังนั้นจึงต้องมีเทคนิคในการกินซักหน่อย กินอย่างไรถึงจะดีกับสุขภาพ ไม่เพิ่มน้ำหนัก

       มะม่วงสุกครึ่งลูก (ขนาดกลาง) จะได้พลังงานประมาณ 70 กิโลแคลอรีและข้าวเหนียวมูล 1 ขีด จะให้พลังงาน 280 กิโลแคลอรี เมื่อรวมกันแล้วจะเท่ากับ 350 กิโลแคลอรี

      1. ให้หนักมะม่วงมากกว่าข้าวเหนียว

      2. ใช้ข้าวเหนียวดำเพราะมีไฟเบอร์และแอนตี้ออกซิแดนท์ชั้นดี

      3. มื้อใดกินข้าวเหนียวมะม่วงมื้อนั้นไม่ควรรับประทานข้าวแล้ว

      4. ให้ถือข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอาหารมื้อหนักมื้อหนึ่ง

      5. รับประทานทีละชุดเล็ก

      6. ขอให้รับประทานช่วงเวลากลางวันจะดีกว่ามื้อเย็นหรือก่อนนอน

      7. ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ต้องระมัดระวัง

      8. คนสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว อาจจะกินข้าวเหนียวมะม่วงได้มากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์

      9. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง ควรกินมะม่วงสุกแต่น้อย กินครั้งละไม่เกิน 1 ผล

      10. ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง เพราะข้าวเหนียวกับกะทิมีความหวานและมันสูง

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

อ่านให้จบก่อนแม่จะสิ้นลม



...บ้านพักคนชราที่ผมไปเยี่ยมเยืยนมาหลังวันเกิดในเดือนที่แล้ว
เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ไม่ใหญ่โตนัก ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของวัดเล็กๆ ที่สมภารเจ้าอาวาสอดีตนักเรียน โรงเรียนเดียวกับผม ท่านเอาเงินที่ญาติโยมศรัทธาถวายท่านมาปลูกสร้างเพื่อให้ผู้เฒ่าผู้ชราได้มาพักอาศัย ยามเมื่อขาดที่พึ่งพิง มีโยมผู้หญิงวัยกลางคนไร้ญาติและสิ่งเกาะเกี่ยวทางโลกมาบำเพ็ญธรรมโดยไม่บวชชี ท่วงท่าเจรจาพาทีดูสำรวมราบเรียบ พร้อมเด็กวัดลูกชาวบ้านแถบนั้นแวะเวียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้ดูแลผู้ชราทั้งหญิงชายที่ถูก ทอดทิ้งรวม 13 ชีวิต ค่าจ้างคนดูแล น้ำไฟ เสื้อผ้ายารักษาโรค ข้าวปลาอาหาร สมภารใจดีอดีตนักเรียนช่างกลที่รอดตายมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหมาจ่ายคนเดียว โดยม่เคยพิมพ์ฏีกา เรี่ยไรใคร

...พูดคุยกับท่านหลายเรื่องจนตอนจะลากลับผมควักเงิน 500 บาท ใส่ซองถวายท่านเป็นค่าใช้จ่าย ท่านจึงนึกอะไรขึ้นมาได้ชวนผมเดินลงจากศาลาไปที่บ้านพักคนชราแห่งนั้น เปิดนรกบนดินอีกขุมหนึ่งให้ คนบาปอย่างผมมีดวงตาเห็นธรรมโดยไม่ต้องฟังเทศน์เทียบชาดกบทใดๆ หญิงชรารูปร่างเล็กผิวสองสีบอบบางทอดกายเหยียดตรงบนเตียงเล็กๆ แต่สะอาด มีผ้าห่มผืนบางๆ ห่มปิดทรวงอกที่ยังกระเพื่อมเบาๆ ราวเครื่องยนต์ใกล้ดับอย่างเหนื่อย หน่าย แม่เฒ่าพยายาม ยกขึ้นประนมไหว้เมื่อท่านสมภารพาผมมานั่งอยู่ข้างขอบเตียง กังวานน้ำเสียงแห่งพุทธบุตรผู้เมตตาเปล่ง วาจาถามไถ่อาการและให้ศีลให้พรเบาๆ แต่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ หยาดน้ำตาแห่งความ ปิติ ท่วมท้นดวงตาสี ขาวขุ่นแล้วค่อยๆ ซึมเซาะรินไหลไปตามร่องขอบตาที่เหี่ยวย่นบนใบหน้า เวทนาบังเกิดจนผมต้องเบือน หน้าหนี ผู้เฒ่าอายุ 91 ปี อาวุโสสูงสุดในจำนวน 13 คนชราของที่นี่ เรื่อง ราวทั้งหลายในอดีต ยังเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน...

...แม่เฒ่ามีลูกชายสองคนและหญิงหนึ่งคน 60 ปีที่ผ่านมาครอบครัวแม่เฒ่าจัดอยู่ใน ระดับผู้มีอันจะกินของจังหวัด สามีของแม่เฒ่ามีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ก่อร่างสร้างตัวจากกรรมกรกิน ค่าแรงรายวันโดย แม่เฒ่ารับจ้าง ทอผ้าอยู่ในโรงงงานแห่งหนึ่ง อดออมสะสมจนฐานะดีขึ้น สามารถ สร้างหลักฐานจนมีที่ดินบ้านช่องสมฐานะ แต่สามีก็ยังทำงานหนักไม่ยอมพักหวังจะฟูมฟักลูก 3 คนให้ อยู่อบอุ่น กินอิ่มโดยไม่ต้อง ลำบากช่วงนั้นแม่เฒ่าเลิกทอผ้าแล้วอยู่บ้านเลี้ยงลูก 3 คนที่อยู่ในวัยซวนไล่ เรียงตามลำดับ เช้าวันหนึ่งเมื่อลูกชายคนโตอายุได้ 6 ขวบสามีของแม่เฒ่าก็หลับไปไม่ ตื่นมาร่ำลา หมอที่ โรงพยาบาลบอกว่าสามีตับแข็งตายทั้งๆ ที่ไม่เคยแตะเหล้าซักหยด แม่เฒ่าเปลี่ยนสภาพบ้านพักเปิด เป็นร้านค้าโชห่วยขายของสารพัดชนิดอดทนอดออมเลี้ยงลูกทั้ง 3 คน ให้ร่ำเรียนจนจบปริญญา ครอบครัว อบอุ่นพี่น้องรักใคร่กันดี ไม่มีเค้าลางว่าจะแตกหักดั่งหนึ่งคนละสายเลือด ลูกชายคนโตแต่งงานไป กับลูกสาวเจ้าของร้านขายทองในตลาด ในชีวิตของแม่เฒ่าไม่เคยมีความสุขครั้งไหน เหมือนวันที่ลูกชายแต่ง งานสมบัติที่มีแม่เฒ่าจัดแบ่งเป็นสามส่วนให้ลูกชายคนโตเปิดร้านขายทองตามที่สะใภ้ต้องการ

...ปีต่อมา ลูกคนที่สองแต่งสาวเข้าบ้านอีกคนแม่เฒ่ายกบ้านและที่ดินที่เปิดร้านขายของสอง คูหาสามชั้นให้เป็นสมบัติ ของลูกด้วยความยินดีโดยที่แม่เฒ่าขอสิทธิ์แค่อยู่อาศัย สองปีถัดมาลูกสาวคน สุดท้องแต่งกับข้าราชการระดับหัวหน้ากองในจังหวัด แม่เฒ่ายกที่ดินและเงินสดก้อนสุดท้ายของแม่เฒ่า รับขวัญลูกเขยด้วยความปรีดา

...สัตว์โลกทั้งหลายล้วนเวียนว่ายก่อเกิดเพื่อมาชดใช้กรรมเก่า
สะใภ้คนที่สองเริ่มจุดประกายแห่งการแตกหัก ตั้งแต่แต่งเข้าบ้านไม่เคยแม้แต่เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว แม่เฒ่ากลายเป็นทาสในเรือนซักผ้าทำกับข้าวจัด สำรับคับค้อน ตั้งโต๊ะคอยท่าสองผัวเมียกินก่อนจนอิ่ม แม่เฒ่าจึงมีโอกาสได้กินของเหลือ ก่อนจะเก็บกวาดถ้วยชามไปล้าง กวาดเช็ดบ้านช่องเรียบร้อยแล้ว จึงได้พักผ่อนด้วยการเดินออกไปคุยกับเพื่อนบ้านในวัยไล่เลี่ยกัน สะใภ้สองเข้มงวดแม้แต่ของสดทุกชนิดที่ซื้อมาทำกับข้าว ต้องถามราคาแล้วยกไปชั่งน้ำหนัก ราคา สินค้ากับเงินทอนที่เหลือต้องตรงกับเงินที่ให้ไปตลาด แต่แม่เฒ่าก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์

...แล้ววันหนึ่งสะใภ้สองก็จัดระเบียบการกินใหม่ หล่อนไปสั่งผูกปิ่นโตเพื่อนกินกันแค่สองผัวเมีย แล้วสั่งให้ผัวจ่ายเงินให้แม่เฒ่าแค่วันล่ะยี่สิบบาทไปหากินเอาเองด้วยเหตุผลโง่ๆ คือต้องการประหยัด แต่ลึก ๆ ในใจไม่ต้องการให้แม่ผัวเม้นส่วนเกิน แม่เฒ่าคิดเอาเองว่าลูกๆ คงไม่อยากให้แม่เหนื่อย จึงน้อมรับประกาศิตลูกสะใภ้ด้วยดุษฏี สองสามวันต่อมาแม่เฒ่าก็ลืมสิ้นเพราะความรักลูก หลายครั้งที่แม่เฒ่าคิดถึงลูกชายคนโตที่เปิดร้านขายทองในตลาด แม่เฒ่าจะเจียดเงินที่เก็บออมไว้ ซื้อผลไม้ที่ลูกชอบติดมือไปด้วย แต่ทุกครั้งที่แม่เฒ่าเดินเข้าไปในบ้านสะใภ้ใหญ่จะมองอย่างเหยียดๆ แล้วเดินหนีเข้าห้องแอร์ปิดประตูนอนดูโทรทัศน์ สั่งคนใช้ให้คอยสอดส่องเดินตามแม่เฒ่า เธอ กลัวแม่ผัวขโมยของในบ้าน จะคุยกับลูกชายไอ้นั่นก็ออกอาการไม่ว่างถามคำตอบคำ เหมือนหนามตำโดน โคนลิ้นจนอ้าปากลำบากลำบน อึดอัดแม่เกรงใจเมีย แกล้งถอดสร้อยคอทองคำเส้นโตที่ห้อยแขวนพระ เครื่องราคาแพงในกรอบทองฝังเพชรพวงใหญ่ขึ้นมาส่องทีละองค์ด้วยความเลื่อมใส และไม่แม้แต่จะชายตา มองแม่เฒ่าที่นั่งซึมอยู่ข้างตู้ทองอย่างเดียวดาย เก้ๆ กังๆ อยู่พักใหญ่ก็เดินออกจากบ้านลูกชายคนโต อย่างเหงาๆ โดยมีคนใช้ของลูกหิ้วถุงผลไม้ตามมายัดคืนใส่มือ ระหว่างทางก็แวะ ทักทายคนรู้จักเพื่อ รักษามารยาท แต่ในใจของแม่เฒ่ามันวังเวงจนจำไม่ได้ว่าพูดคุยกับใครไปบ้าง ระหว่างทาง ลูก สาวคนเล็กที่แม่เฒ่าทั้งรักทั้งหวงนั่นแทบไม่ต้องพูดถึงเธอยื่นคำขาดกับแม่เฒ่า ตั้งแต่้ครั้งแรกที่ไปเยี่ยมว่าถ้า ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปหาเพราะบ้านเธอมีแขกที่เป็นลูกน้องของผัวและพ่อค้าวานิชเข้าพบผัวของเธอเพื่อขอ อำนวยความสะดวกในทางธุรกิจบ่อยๆ และผัวของหล่อนก็ค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่าง ถ้าแม่เฒ่ารักลูกก็ควร จะต้องรักษาเกียรติรักษาหน้าตาของผัวลูกด้วย แม่เฒ่าไม่เข้าใจว่าการรักษาหน้าตาของลูกเขยนั้นต้อง ทำอย่างไรแม่เฒ่ายังเคยปลื้มกับคำชมของเพื่อนบ้าน

...เขาว่าแม่เฒ่าวาสนาดีลูกเขยเป็นเจ้าคนนายคนแม่เฒ่าก็ได้แต่แอบปลื้มทั้งๆ ที่ ไม่เข้าใจว่าทำไมการเป็น เจ้าคนนายคนจึงเหมือนกำแพงชนชั้นปิดกั้นระหว่างความเป็นแม่ลูกจนหนักหนาสาหัสขนาดนั้น ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมารายรอบร้านค้าของลูกชายคนที่ สองกระทบธุรกิจของสองผัวเมียจนทรวดเซ ของขายไม่ได้มากเหมือนเก่าที่เอาอะไรมาวางก็ขายหมด ปัญหาและวิกฤติการเงินในบ้านส่งสัญญาณถึงขาลง สองผัวเมียเริ่มมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง และแทบทุก ครั้งลูกสะใภ้ก็จะฉวยโอกาสด่ากระทบแม่ผัวเป็นของแถมโดยไม่มีเหตุผล โดยที่ลูกชายก็ไม่ออกอาการปก ป้องแม่เฒ่าแต่อย่างใด

.. 12 มิถุนายน 2530 ประมาณ 3 ทุ่มของคืนโลกาวินาศ
ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยพยับเมฆ สลับกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเป็นระยะๆ ครู่ใหญ่ๆ ต่อมาสายฝนจึงโปรยปรายชุ่มฉ่ำน้ำนองไปทั่วเมือง ลูกชายลูกสะใภ้ออกไปกินข้าวนอกบ้านยังไม่กลับ ปล่อยแม่เฒ่าเฝ้าร้านค้าคนเดียว

...แม่เฒ่าจำได้ว่าวัยรุ่นสองคนขี่รถเครื่องฝ่าสายฝนมาจอดหน้าร้านขอซื้อเบียร์หนึ่งขวด แม่เฒ่ารับเงิน แล้วเดินเข้าไปเก็บในลิ้นชักโดยไม่ระแวงว่า สองวัยรุ่นแอบยกลังใส่บุหรี่ที่ลูกชายสั่งมายังไม่แกะ กล่องช่วยกันแบกขึ้นรถขี่หายไปกับความมืด ก่อนสี่ทุ่มเล็กน้อยสองผัวเมียจึงขับรถกลับเข้าถึงบ้านช่วย กันเก็บของเข้าร้าน วางของทุกชิ้นเข้าที่ๆ เคยวาง เมื่อไม่เห็นลังบุหรี่จึงหันไปตะโกนถามแม่เฒ่าที่ กำลังจุดธูปไหว้รูปสามีบนหิ้ง เพียงคำตอบที่แม่เฒ่าตอบว่า "ไม่เห็น" ก่อนปักธูปลงกระถาง เสียงสบถด้วยคำหยาบของลูกชายก็ดังสวนสนั่นบ้าน ครู่เดียวทั้งลูกสะใภ้กับลูกชาย ก็สลับปากจิกหัวด่าแม่กึกก้องประสานเสียงกับสายลมนอกบ้าน ก่อนที่ทั้ง คู่จะขับรถไปโรงพักแจ้งจับแม่ลักทรัพย์ ตำรวจพาแม่เฒ่าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะร้อยเวร แม่เฒ่าให้การไม่รู้ ด้วยซื่อบริสุทธิ์โดยไม่ตัดพ้อต่อว่าลูกชายแม้แต่คำเดียว กว่าชั่วโมงในห้องแอร์เย็นเฉียบ แต่ในอกในใจของร้อยเวรหนุ่มร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟนรกแผดเผา ที่ต้องวิงวอนสองผัวเมียให้เห็นบาปบุญคุณโทษ แต่สองผัวเมียกลับโยนภาระตอกย้ำ "ให้ตำรวจอบรมแม่ เฒ่า" ก่อนที่จะสะบัดก้นกลับไปบ้านโดยไม่ใส่ใจแม่เฒ่าที่เปียกฝนนั่งสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ สายฝนยงสาดซัดกระหน่ำหนักเหมือนฟ้าแตก ตำรวจยศนายดาบขับรถร้อยเวรมาส่งแม่เฒ่า ที่บ้านบ้านซึ่ง ประตูเหล็กถูกปิดสนิท

...แม่เฒ่าลงจากรถเดินฝ่าฝนถึงหน้าบ้านแล้วแม่เฒ่าก็ตกใจสุดขีดกับภาพเบื้องหน้าที่พื้นหน้าบ้าน เสื้อผ้าเก่า ๆ ยัดแน่นอยู่ในถุงถูกโยนออกมากองเรี่ยราดเหมือนขยะ บนกองเสื้อผ้าของแม่เฒ่า กระถางธูปและรูปถ่ายของสามีแตกกระจายเกลื่อนกราด หยาดฝนสาดซัดรูปถ่ายขาวดำ ของสามีจนเปียกปอนขาดวิ่น แม่เฒ่าก้มลงหยิบรูปของสามีมากอดแนบอก น้ำตาแห่งความ รันทดทะลักล้นปนน้ำฝน ปวดร้าวเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ แม่เฒ่ากอดรูปนั้นไว้เหมือนจะปกป้อง จากสายฝนสุดชีวิต สองเท้าออกก้าวช้าๆ เหมือนร่างไร้วิญญาณ เข้าตลาดไปหยุดนิ่งอยู่หน้าร้านขายทอง ของลูกชายคนโตเหมือนเป็นการบอกลา แล้วลัดเลาะฝ่าความมืดและสายฝนไปยืนอยู่หน้าบ้านลูกสาวคน เล็กเก็บภาพแห่งความรักความทรงจำสุดท้ายเป็นครู่ใหญ่ จึงเดินจากไปท่ามกลางเสียงกึกก้องของฟ้า ร้องระงม สลับกับ เสียงฟ้าผ่าแน่นหนักเป็นระยะ ดั่งเจ้ากรรมนายเวรกำลังเร่งรีบกรีดนิ้วกัปนาท บรรเลงเพลงกรรมในอดีตชาติติดตามมาทวงคืนให้แม่เฒ่าต้องชดใช้อย่างบอบช้ำยับเยิน รถกระบะเก่าๆ คันนั้นวิ่งฝ่าสายฝนมาจอดสงบนิ่งอยู่หน้ากุฏิพระ ของสมภารเจ้าวัด ตอนตีสามเศษๆ คนขับรถพบแม่เฒ่าเดินโซซัดโซเซอยู่ข้างถนนเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ด้วยใจเมตตา เมื่อแม่เฒ่าต้องการมาที่นี่ จึงขับรถมาส่งด้วยความสังเวช แม่เฒ่ามักคุ้นกับ สมภารวัดนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์เก่ายังอยู่ นาทีสุดท้ายของการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิตจึงไม่มีที่ไหนอบอุ่นให้พึ่งพิงเหมือน ร่มเงาฉัตรแก้วกงธรรมแห่งรัตนะทั้งสาม

...ฟ้าเริ่มขมุกขมัวใกล้ค่ำลงทุกขณะ ผมจำเป็นต้องบอกลาท่านสมภารและ แม่เฒ่าเจ้าของเรื่องราวน่าสลด นับแต่นาทีแรกที่แม่เฒ่ามาถึงที่นี่จนวันนี้ แม่เฒ่าไม่เคยออกไปนอกวัด เหมือนๆ กับที่ทั้งสามคนก็ไม่เคย
ออกติดตามถามหาจะรู้หรือไม่ก็แล้วแต่ ว่าแม่ซมซานมาอยู่วัดแต่ ก็ไม่เคยปรากฏแม้แต่ เงาของลูกทั้ง 3 ผมจากลาออกมาทั้งที่น้ำตาเปื้อนหน้า ประโยคสุดท้ายของแม่เฒ่าที่ฝากมา..

“แม่จำลูกได้ทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนโต จะทุกข์จะสุขก็คือลูกของแม่ แม่ให้โดยไม่เคยวาดหวังจะได้จากลูกทุกคนเป็นการตอบแทน
ลูกเอ๋ย...เมื่อลูกยังเป็นทารกทุกครั้งที่แนบอกดูดดื่มน้ำนมจากเต้า สองมือน้อยๆ ของเจ้าไขว่คว้าอยู่ไหวๆ

วันนี้แม่สิ้นแรงแทบสิ้นใจจะมีมือของลูกคนไหน เอื้อมมาปิดตาให้

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560

7ประโยชน์ดีๆจากเปลือกกล้วย



1. ใช้ในการกำจัดหูด ใช้เปลือกกล้วยที่มีขนาดใหญ่วางลงบนแผลหูด หลังจากนั้นใช้ผ้าพันแผลบริเวณนั้นเอาไว้ ทำซ้ำหลายๆคืน หูดก็จะค่อยๆหาย

2. กำจัดริ้วรอยและสิว ขั้นตอนนี้สามารถทำได้ง่ายๆ โดยใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที แถมยังมีประสิทธิภาพสูง เพียงแค่ถูผิวของคุณด้วยเปลือกกล้วย ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด

3.ใช้ทำความสะอาด คุณสามารถใช้เปลือกกล้วย  ในการทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์และรองเท้าของคุณได้ด้วย ซึ่งเปลือกกล้วยจะช่วยให้เครื่องใช้เห ล่านี้ของคุณเหมือนของใหม่ปิ๊งๆเลยล่ะ

4.ใช้ฟอกฟันให้ขาว ใช้ส่วนด้านในของเปลือกกล้วยฟอกไปที่ฟันของคุณ ทำทุกวันติดต่อกันหลายสัปดาห์ คุณก็จะสังเกตเห็นผลลัพธ์ได้ในทันที

5.ใช้รักษาแมลงกัดต่อย เปลือกกล้วย นำมาทาตรงบริเวณแผลที่โดนแมลงกัดต่อย ก็จะช่วยรักษาได้

6.ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับโรคสะเก็ดเงิน ให้นำเปลือกกล้วยมาถูให้ทั่วแล้วทิ้งไว้ 10 นาที ทำเช่นนี้อาการก็จะค่อยๆดีขึ้น

7.ใช้แทนยาแก้ปวด ใช้เปลือกกล้วยถูบริเวณที่มีอาการปวด เช่น ปวดหลัง , ปวดขา ฯลฯ รอ 10-15 นาที อาการจะทุเลาลง

ขอขอบคุณที่มาพระอธิการนพดลกันตสีโล วัดหนองรั้ว

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

จดหมายถึงเมีย



ถึงเมียสุดที่รัก!

ช่วงนี้พี่สังหรณ์ใจว่าจะมีอันตรายมาเยือน พี่ อาจจะถูกอุ้มหรือทำร้าย สาเหตุเนื่องมาจากเรื่องงาน พี่เป็นคนตรงไปตรงมา ทำให้ไปขัดผลประโยชน์ของเจ้านายและผู้มีอิทธิพล เพราะฉะนั้นพี่ต้องคอยระวังตัวตลอดเวลา พี่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันเพื่อหลีกเลี่ยงภัยดังกล่าว ดังต่อไปนี้
๑.) ต้องกลับบ้านไม่เป็นเวลา อาจจะมืดๆค่ำๆหรือดึกๆ เพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้ามที่จะมาดักทำร้ายเพราะกลับตรงเวลาทุกวัน
๒.) ต้องปิดโทรศัพท์หรือไม่รับโทรศัพท์บ่อยขึ้น เพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้ามรู้ความเคลื่อนไหว
๓.) ต้องมีการปลอมตัวบ้าง อาจจะมีกลิ่นน้ำหอมแปลกๆก็อย่าแปลกใจ หรืออาจเดินควงผู้หญิงเพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้เป็นที่สงสัย ก็อยากให้เข้าใจว่าเป็นการแสดงนะครับ
๔.) ถ้ามีผู้หญิงส่งไลน์หรือเฟสมาหาบ้าง นั้นเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยจากลูกน้องนะครับ อย่าเข้าใจเป็นอื่น
๕.) ถ้ามีผู้หญิงสวยๆแอดเข้ามาเป็นเพื่อนในไลน์ในเฟส แสดงว่าฝ่ายตรงข้ามส่งมาล้วงความลับครับ อย่าได้เข้าใจผิด
๖.) อาจจะไม่กลับบ้านบ้างทีละหลายวัน ก็ให้ทราบว่ากำลังลี้ภัย ไม่ต้องตามนะ จะกลับมาเอง
๗.) บางครั้งอาจจะมีการปล่อยข่าวว่าไปนั่งดื่มเหล้ากับเพื่อนหรือมีผู้หญิงมานั่งตักบ้าง! มันเป็นบทบาทสมมุติ
หวังว่าสุดที่รักจะเข้าใจนะครับ..!

-------------------------
จดหมายตอบสามี

ถึงสามีสุดที่รัก....!!!

หลังจากได้รับจดหมายของพี่
น้องรู้สึกเป็นห่วงพีมาก พี่ไม่ต้องเป็น
กังวลมากนะ ชีวิตนี้น้องขอมอบให้พี่
น้องสามารถตายแทนพี่ได้ ตอนนี้น้อง
พาลูกกลับบ้านให้ไปอยู่กับยายสักพักก่อน รอจัดการเรื่องพี่ให้เรียบร้อย
ก่อนค่อยพากลับมา ส่วนงานที่ทำอยู่
น้องได้ยื่นใบลาออกกับผู้จัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ น้องได้นำเงินของพี่
ไปซื้อปืนได้มากระบอกหนึ่งแล้วค่ะ
ต่อไปนี่ น้องจะคอยอยู่ข้างกายพี่ตลอดเวลาค่ะ น้องจะติดตามรับส่งและเฝ้าอยู่ที่ทำงานพี่ตลอดค่ะ
สบายใจแล้วใช่ไหมค่ะ พี่ก็รู้อยู่ว่า
น้องโหดขนาดไหน คุกน้องไม่กลัวค่ะ
ส่วนพวกสาวๆทั้งหลายก็ไม่ต้องห่วงค่ะเดี๋ยวน้องจัดการเรียบร้อยหมดค่ะ
โดยปกติน้องไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวพี่
แม้โทรศัพท์ยังไม่เคยเปิดดูของพี่
แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้วค่ะ น้องจะต้องตรวจให้ละเอียดยิบเลยค่ะ ไม่ได้ค่ะ
มันอันตราย ตอนนี้น้องทุ่มสุดตัว
เพื่อพี่คนเดียวค่ะ  ตอนนี้น้องมาถึงที่ทำงานพี่แล้วค่ะ เดี๋ยวเลิกงานแล้ว
ลงมาหาน้องได้เลยค่ะ กลับบ้านพร้อมกัน
เดี๋ยวเจอกันค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ยาสีฟันมีประโยชน์มากกว่าแค่การแปรงฟัน


ยาสีฟันเป็นสิ่งที่เราทุกคนมีใช้กันประจำบ้าน ในการแปรงฟันตั้งแต่หลังตื่นนอนและก่อนเข้านอน เราทุกคนคุ้นเคยกับการใช้ยาสีฟันกันเป็นอย่างดี แต่จะมีสักที่คนที่จะรู้ว่ายาสีฟัน ทำได้มากกว่าการใช้แปรงฟัน เพราะเป็นของใกล้ตัว จึงได้มีคนคิดพลิกแพลงนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านอื่นได้ด้วย

1.ทำความสะอาดเล็บ เมื่อใช้สีฟันได้ ยาสีฟันก็สามารถทำความสะอาดเล็บได้เช่นกัน เพื่อให้เล็บสะอาดเป็นเงางามและยังทำให้เปลือกเล็บแข็งแรงขึ้นด้วย เพียงแค่บีบยาสีฟันพอประมาณลงบนแปรงสีฟันชื้นๆ จุ่มนิ้วในน้ำอุ่นสักพัก จากนั้น ใช้แปรงขัดทำความสะอาดเล็บให้ทั่ว และถูที่ซอกเล็บด้วยเพื่อขจัดเศษหนังข้างเล็บให้หลุดออก

2.แต้มหัวสิวจอมก่อกวนได้ด้วยยาสีฟัน เนื่องจากส่วนผสมในยาสีฟันจะช่วยขจัดความมันส่วนเกินออกจากผิว ทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น และยังใช้แต้มรอยสิวให้จางลงได้อีกด้วย โดยแต้มยาสีฟันขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว ลงบนหัวสิว หรือรอยแผลเป็นจากสิว ตัดพลาสเตอร์เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วแปะทับลงไปเพื่อไม่ให้ยาสีฟันที่แต้มไว้เลอะบนที่นอน

3.หากแวกซ์หรือเจลแต่งผมหมดลง ยาสีฟันช่วยคุณได้ เพราะในยาสีฟันมีสารโพลีเมอร์ละลายน้ำได้ดี ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่เหมือนกับเจลแต่งผมส่วนมาก โดยบีบยาสีฟันเล็กน้อยลงบนนิ้ว แล้วเกลี่ยให้เนื้อยาสีฟันกระจายออกหรืออาจแตะน้ำเล็กน้อยด้วยก็ได้ แตะยาสีฟันลงบนจุดที่ต้องการแล้วปาดให้เรียบ

ในบางครั้งบางสิ่งบางอย่างก็สามารถใช้ทดแทนกันได้ และได้ผลดีเท่าที่ควร เพียงแค่เรารู้จักที่จะใช้ให้เป็น สิ่งของใกล้ตัวให้อะไรกับเราได้เยอะเลยทีเดียวค่ะ

ขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Lisa ภาพจาก : daum

วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ข้อดีของมะม่วง


มะม่วง ผลไม้รสชาติดี หาทานง่าย ทานได้ทั้งแบบดิบและแบบสุก แต่บางคนไม่ค่อยชอบทานเพราะคิดว่ามะม่วงแป้งเยอะทานแล้วจะอ้วน แต่รู้มั้ยคะว่ามะม่วงบ้านๆนี่หล่ะ มีโยชน์มากมายแบบไม่น่าเชื่อ....

1. ลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี
การรับประทานมะม่วงประจำสามารถรักษาระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย จากการตรวจสอบพบว่า วิตามินซีสูง เพคตินและเส้นใยมากมายที่อยู่ในมะม่วงจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ได้เป็นอย่างดีอย่างยิ่ง ‘ไม่ดี’ ในขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มจำนวนคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) อีกด้วย และมะม่วงเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียมซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือดในระบบประสาทที่ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

2. ฟื้นฟูผิว
มะม่วงเป็นผลไม้มหัศจรรย์สามารถใช้ฟื้นฟูผิวได้ โดยใช้ในการมาสก์และขัดหน้า ในมะม่วงอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามิน C วึ่งช่วยให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีและเปล่งประกาย วิตามินและเบต้าแคโรทีนในมะม่วงสามารถเพิ่มความอ่อนเยาว์ ฟื้นฟูผิว ลดจุดด่างดำ ฝ้าและสิว โดยนำมะม่วงสุกมาปอกเปลือก แล้วถูทั่วใบหน้าของคุณเป็นเวลา 10 ถึง 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

3. ป้องกันการเกิดโรคลมแดด (Heat stroke)
ลดความเสี่ยงผลกระทบของจังหวะการเต้นของหัวใจจากความร้อน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะรักษาระดับของเหลวในร่างกายของคุณ โพแทสเซียมในมะม่วงช่วยรักษาระดับโซเดียมซึ่งจะควบคุมระดับของเหลวในร่างกายและควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจท ในฤดูร้อนคุณสามารถกินมะม่วงสุกหรือมะม่วงดิบทุกวันเพื่อช่วยให้เย็นลงและเพิ่มน้ำแก่ร่างกาย

4. บำรุงสายตา
มะม่วงเป็นแหล่งของวิตามิน A จำนวนมาก ซึ่งสารอาหารสำคัญสำหรับสุขภาพตา วิตามิน A จะช่วยบำรุงสายตาและป้องกันความผิดปกติต่างๆเกี่ยวกับตา เช่นตาบอดตอนกลางคืน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม ตาแห้งและความรู้สึกไม่สบายตา ในมะม่วงสุก 1 ถ้วย มีวิตามิน A อยู่ถึงร้อยละ 25 ของความต้องการต่อวัน

5. รักษาระดับอัลคาไลน์
กรดซิตริกที่พบในมะม่วงช่วยรักษาระดับอัลคาไลน์ในร่างกาย จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น ภาวะเลือดเป็นกรดเรื้อรัง โรคไต กล้ามเนื้ออ่อนแอและกระดูกอ่อนแอ การรับประทานมะม่วงเป็นประจำจะช่วยรักษาค่า pH ให้ปกติ โดยอยู่ระหว่าง 7.35 และ 7.45 ซึ่งจะช่วยให้การถ่ายโอนออกซิเจนไปทั่วร่างกายมากขึ้น ป้องกันไม่ให้โรคทางเดินอาหารต่างๆ และโรคกระดูกพรุน
6. ช่วยย่อยอาหาร
เส้นใยที่มีอยู่มากในมะม่วงจะช่วยในการย่อยอาหารและการกำจัดของเสีย ทั้งยังสามารถช่วยป้องกันความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเช่น โรคโครห์น (Crohn’s disease) นอกจากนี้มะม่วงยังช่วยบรรเทาอาการท้องผูกและแผลในกระเพาะอาหาร

7. ป้องกันโรคมะเร็ง
งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า สารต้านมะเร็งและสารต้านอนุมูลอิสระในมะม่วงสามารถป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งผิวหนัง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในมะม่วงที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งคือ quercetin isoquercitrin astragalin fisetin gallic acid และ methyl gallat สถาบันโรคมะเร็งในบอสตันแนะนำให้ดื่มมะม่วงปั่นสมูทตี้ 1-2 แก้วทุกวันสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง

8. ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
วิตามิน C ในมะม่วงมีหน้าที่สำคัญในการรักษาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ป้องกันการเข้าสู่ร่างกายของเชื้อโรค และช่วยเพิ่มการผลิตเม็ดเลือดขาว นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสุขภาพผิวให้ผิวมีสุขภาพดี

9. เพิ่มความจำ
ในการศึกษาของ journal Oxidative Medicine พบว่าสารหลายชนิดที่พบในมะม่วงช่วยเพิ่มการจดจำและลดความเครียด กรดกลูตาในมะม่วงจะช่วยเพิ่มหน่วยความจำ ส่วนวิตามิน B6 ยังมีหน้าที่สำคัญในการดูแลและปรับปรุงการทำงานของสมอง

10. เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
มะม่วงถือว่าเป็นยาบำรุงชั้นดี ในต่างประเทสมักเรียกกันว่า love fruit หรือ ผลไม้แห่งความรัก ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน E ที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนเพศ

ประโยชน์เยอะขนาดนี้ แถมยังหาทานง่าย ปลูกง่าย คนรักสุขภาพห้ามพลาดนะคะ ถือว่าเป็นยาบำรุงสุขภาพชั้นดี ที่ไม่ต้องซื้อหาราคาแพงๆ แต่ก็อย่ารับประทานมากเกินไปนะคะ เพราะอะไรมากเกินไปย่อมไม่เกินผลดีอยู่แล้ว เอาเป็นว่าทานแบบพอดีๆ เพื่อสุขภาพที่ดี ดีกว่านะคะ

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เพราะเหตุใด


ทำงานที่บริษัทฯ ใกล้จะครบสามปีแล้ว เพื่อนร่วมงานที่เข้ามาทีหลังผมต่างทยอยได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น ผมกลับจมอยู่ที่เดิมความรู้สึกภายในจิตใจยากที่จะรับได้จนกระทั่งวันหนึ่ง เสี่ยงกับการถูกเลิกจ้าง ผมขอพบเจ้านายเพื่อคุยถึงสาเหตุ

"เจ้านาย ผมเคยมาสาย กลับก่อนเวลา หรือ ละเมิดกฎระเบียบหรือไม่"
เจ้านายตอบทันทีว่า "ไม่เคยและไม่มี"
"ถ้าเช่นนั้น เป็นเพราะบริษัทฯมีความลำเอียง อยุติธรรมกับผมหรือ"
เจ้านายอึ้งก่อน แล้วพูดว่า "ไม่มี ไม่ใช่แน่นอน"
"แล้วทำไม ผู้ที่อายุงานน้อยกว่าผม กลับได้รับความสำคัญ ความไว้วางใจในหน้าที่ปฎิบัติงาน แต่ผมกลับอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่ไม่สำคัญมาตลอด"
เจ้านายนิ่งเงียบ ไม่สามารถหาคำพูดมาตอบผมทันที จากนั้นยิ้มๆ แล้วพูดว่า
"ปัญหาของคุณเดี๋ยวเราค่อยคุยกันใหม่
เวลานี้ ผมมีเรื่องเร่งด่วนสำคัญอยู่เรื่องหนึ่ง ช่วยผมจัดการไปก่อน มีลูกค้าเจ้าหนึ่ง เตรียมตัวมาที่บริษัทฯ เพื่อตรวจสอบสินค้า"
เจ้านายให้ผมติดต่อพวกเขา สอบถามว่า จะมาถึงเมื่อไหร่ ผมคิดในใจว่า
"นี่หรือ งานเร่งด่วนเร่งรีบที่สำคัญ"
ก่อนก้าวออกจากประตู ผมอดไม่ได้จะคิดเยาะเย้ย สิบห้านาทีไม่ถึง ผมกลับเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านาย
"ติดต่อได้หรือยัง" เจ้านายถาม
"ติดต่อได้แล้ว พวกเขาบอกว่า อาจจะมาสัปดาห์หน้า"
"สัปดาห์หน้า วันเฉพาะเจาะจงคือวันไหน"
"ผมไม่ได้ถามรายละเอียด"
"พวกเขาจะมากันกี่คน"
"โอ้...ท่านไม่ได้ให้ผมถามเรื่องนี้น่ะ"
"งั้นพวกเขาจะมาทางรถไฟหรือเครื่องบิน"
"นี่ท่านก็ไม่ได้บอกให้ผมถามสักหน่อย"
เจ้านายไม่พูดอะไรอีก ท่านโทรศัพท์เรียกจูเจิ้นเข้ามา
จูเจิ้นเข้ามาบริษัทฯหลังผมหนึ่งปี ตอนนี้เป็นผู้ควบคุมรับผิดชอบแผนกหนึ่งไปแล้ว เขาได้รับหน้าที่เหมือนกันกับผมที่ได้รับเมื่อสักครู่ เวลาผ่านไปครู่เดียว จูเจิ้นก็เดินกลับมา
"อ้อ...เป็นอย่างนี้" จูเจิ้นเริ่มรายงาน
"พวกเขาจะมาโดยเครื่องบิน เที่ยวบ่ายสามโมง วันศุกร์ จะมาถึงประมาณหกโมงเย็น เดินทางมาทั้งหมดห้าคน นำคณะโดยฝ่ายจัดซื้อผู้จัดการหวัง"
"ผมบอกพวกเขาแล้วว่า ทางบริษัทฯเรา จะส่งคนไปรับ นอกเหนือจากนี้ พวกเขาวางแผนตรวจสอบสองวัน รายละเอียดเจาะจงเมื่อพวกเขามาถึงแล้ว ค่อยปรึกษาหารือร่วมกันทั้งสองฝ่าย"
"เพื่อความสะดวกในการปฎิบัติงาน ผมขอเสนอจัดหาที่พักระดับอินเตอร์ที่อยู่ใกล้กับบริษัทฯให้แก่พวกเขา หากท่านเห็นด้วย พรุ่งนี้ผมก็จะจองห้องพักไว้ล่วงหน้า"
"นอกเหนือจากนี้ ยังมีอีกเรื่อง กรมอุตุฯ รายงานว่า สัปดาห์หน้าฝนจะตก ผมจะคอยติดต่อสื่อสารพวกเขาตลอด หากมีสถานการณ์เปลี่ยนแปลง ผมจะรายงานท่านทันที"
หลังจากจูเจิ้นออกไปจากห้องแล้ว เจ้านายแตะไหล่ผม แล้วพูดว่า
"ตอนนี้ เรามาคุยถึงปัญหาของของคุณต่อ"
"ไม่ต้องแล้ว ผมรู้สาเหตุแล้วว่าเพราะเหตุใด รบกวนท่านมากแล้ว"
ผมเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า ไม่มีใครเกิดมาก็สามารถแบกรับภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ ล้วนเริ่มจากความเรียบง่าย เริ่มทำจากเรื่องเล็กๆที่เรียบง่าย วันนี้ เธอติดแผ่นฉลากให้เธอเองเช่นไร อาจกำหนดตัดสินว่า พรุ่งนี้เธอจะเป็นผู้ที่สมควรได้รับมอบหมาย ภารกิจที่ใหญ่ขึ้นหรือไม่
ระยะห่างของความสามารถ มีผลกระทบโดยตรงกับผลของชิ้นงาน ไม่ว่าองค์กรใดบริษัทฯใด ก็ต้องการบุคคลที่ทำงาน ที่มีความสามารถ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่อยู่ในตัวตัวเอง
พนักงานที่มีความโดดเด่น ยอดเยี่ยม ล้วนไม่ต้องให้ผู้อื่นมาบอกมากล่าวว่า
จะต้องทำอะไรถึงจะขยับตัวทำ แต่จะทำความเข้าใจด้วยตนเองว่า สมควรทำอะไร หลังจากนั้นทุ่มเทแรงกาย แรงใจ กระทำจนสำเร็จ
ท่องไว้ในใจนะ......นายสั่งให้ทำหนึ่ง...สอง...สาม....
สิ่งที่เราทำคือ..หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก ...เจ็ด แปด เก้า เก็บไว้ในกระเป๋า ....สิบ สิบเอ็ด สิบสอง อยู่ในสมอง ....ทันที พร้อมเอาออกมาใช้ในทุกสถานการณ์

ขอขอบคุณ มุมมองความคิดดีดี : " Pink Planet TH "

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แว่นตาแห่งชีวิต


อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง สุดแสนจะภูมิใจ ที่ลูกชายวันห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ โดยส่วนตัวของเขาเอง ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน

ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียว ไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้ววันหนึ่ง เขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่องความยากจน เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน

เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน กลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไรบ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน

ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า….

.....ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่
ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าท้องทำงานของชาวนา

.....อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆ บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร

.....เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

.....ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่นเพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน
แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

.....ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืน โดยไม่ขาดแคลน
แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน

.....ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่

.....ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

ผู้เป็นพ่อฟังแล้วเงียบงัน ลูกชายสบตาพ่อเต็มตา
แล้วจบว่า

“ขอบคุณมากครับพ่อ ที่ช่วยให้ผมได้สำนึกว่า เราจนขนาดไหน”

คุณเห็นด้วยไหมว่า “แว่นตาชีวิต” นี่ช่างเป็นสิ่ง
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก คิดดูสิว่าโลกจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด

ถ้าเราทุกคนเปลี่ยนมา
เป็นปลื้มและพอใจในทุกสิ่งที่เรามี แทนที่จะดิ้นรน
ไขว่คว้าเพื่อสิ่งที่เรายังไม่ได้มา

ขอจงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อน
ชีวิตหนึ่งของเรานั้น สั้นนัก และเรามีเพื่อนได้น้อยมาก

จงแบ่งปันความรู้สึกที่ดีๆให้เพื่อนของเรา เหมือนที่เราอยากได้"

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เอาใจวางไว้ที่บ้าน


หนุ่มหนึ่งกลับบ้านหลังดื่มจนตัวเบา พอเข้าบ้าน เปิดไฟ ร้องเรียกเมีย ไร้เสียงขาน ก้มหน้าพบหนังสือขอหย่าบนตู้รองเท้า หนุ่มงง ไม่นึกว่าเจ้าหล่อนจะเอาจริง ผัวเมียทะเลาะกันบ่อย อย่างมากหล่อนเพียงงอนไม่พูดด้วย หรือกลับบ้านแม่ไปสักพักจากนั้นก็คืนมาเป็นปกติ ทว่าครั้งนี้ เรื่องไม่เล็กเสียแล้ว เมียบอกให้เขาไปงานประชุมผู้ปกครองของลูกสาวเขาบอกว่างานยุ่ง ไม่มีเวลาเมียว่ายุ่งอะไรทั้งวัน ไม่เคยใส่ใจฉันกับลูกเลย

เราเลิกกันแล้วกัน

หนุ่มไม่คิดว่าจะมีปัญหาเขาถือว่าต้องเห็นงานสำคัญกว่าครอบครัวและที่ยุ่งวุ่นนั้นก็เพื่อบ้านนี้ไม่ใช่หรือ

ตนไม่ได้ทำอะไรผิด

แต่ในนาทีนี้ บ้านว่างเปล่าเงียบเชียบไร้ลูกไร้เมียนี้มันช่างไม่เป็นบ้านเอาเสียเลยความสำเร็จของเขา ถ้าไม่มีเมียร่วมปันก็ไร้ความหมายวันรุ่งขึ้นเขาไปเยี่ยมพ่อแม่ ทั้งสองงงมาก ถามว่าทำไมมีเวลากลับบ้าน
คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ? ทะเลาะกับแม่อีหนูหรือ? คำถามเป็นชุดทำให้เขาละอาย เขาคงกลับบ้านน้อยเกินไปกระมัง?

แต่พ่อแม่ตื่นเต้นยินดีกันมาก พ่อรีบออกไปจ่ายตลาด แม่อยู่บ้านนั่งคุยกับเขา หาขนมถั่วต้มให้กิน แต่ไม่ทันนั่ง เสียงโทรศัพท์ดัง เขาได้ยินเสียงพ่อดังลอดมาจากโทรศัพท์ว่า "ลืมบอกไป ชาเก๊กฮวยน้ำผึ้งที่ชงไว้ให้น่ะ อยู่บนธรณีหน้าต่าง เธอรีบดื่มซะ เดี๋ยวจะเย็น" แม่วางหู ดื่มชาไปอึกเดียว โทรศัพท์ดังอีก พ่อนั่นแหละ "เราต้องจ่ายค่าน้ำแล้วใช่ไหม? ฉันลืมเอาบิลม ช่วยบอกเลขบิลให้หน่อย จะแวะไปจ่าย" วางหูไม่ทันไร พ่อโทรฯ มาอีก เสียงดีใจทีเดียว"เธอชอบกินปลาสีนวลใช่ไหม เดี๋ยวซื้อไปให้นึ่งกิน"

ยี่สิบนาที พ่อโทรฯ 3 ครั้ง แม่ก็รับและคุยอย่างไม่รู้หน่าย

เขาอดบ่นไม่ได้ว่า ทำไมพ่อจุกจิกขึ้นทุกที? ไม่เห็นมีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องโทรฯ กลับมาบอกไม่ได้หรือ? แม่ยิ้มแล้วพูดว่า "เด็กโง่เอ๊ย เจ้าจะไปรู้ใจพ่อได้ไง? แกไม่ได้จุกจิก แต่แกวางหัวใจไว้ที่บ้าน มีที่ฝากฝังมีความห่วงหา จึงได้โทรฯ ครั้งแล้วครั้งเล่าตัวพ่ออยู่นอกบ้าน แต่ใจอยู่ในบ้าน

เรื่องในบ้านไม่มีใหญ่เล็ก ทุกอย่างล้วนห่วงใย เจ้าอย่าคิดว่าเอาเงินเข้าบ้านก็พอ

บ้านไม่ใช่ที่ที่วางเงิน แต่เป็นที่ที่วางใจ มีแต่เอาใจวางไว้ที่บ้าน ความรักกับความสุขจึงจะอยู่ที่บ้าน เจ้าเข้าใจไหม?"

เขาเห็นสายตาลึกล้ำของแม่ เข้าใจในบัดดล คิดถึงตนเอง ไม่เคยโทรศัพท์กลับบ้าน แม้แต่เมียโทรฯ หาก็รีบตัดสาย คิดถึงที่ตัวเองไปงานไปกินกับหัวหน้ากับเพื่อนร่วมงานจนดึกดื่น ไฟที่บ้านก็สว่างคอยเขาจนดึกดื่น แต่เขาไม่เคยคิดถึงความเดียวดายของเธอ ลูกอายุหกขวบ ขอให้เขาพาเที่ยว แต่คำมั่นสัญญาของเขาไม่เคยเป็นจริง

เพราะงานยุ่ง หรือเพราะว่าไม่เคยเอาใจวางไว้ที่บ้านเล่า?

คืนนั้น เขาไปรับเมียกลับ เธอรีรอไม่ยอมกลับ เขารีบอธิบายว่า จะไม่เป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ก่อนนี้ฉันละเลยเธอ ละเลยบ้านของเรา ฉันคิดว่าเพียงแค่ส่งเงินให้ไม่ขาดก็จะรับประกันความสุขของเรา แต่ฉันเกือบทำความรักหล่นหาย ต่อไปนี้ ฉันจะเอาใจวางไว้ที่บ้าน เอาบ้านวางไว้ในใจ เธอกลับบ้านกับฉันเถอะนะ?
เมียไม่ตอบ ค่อยๆ เดินเข้าหาเขา น้ำตาร่วง

ถูกต้องแล้ว บ้านคือที่วางใจ คือที่รองรัก

งานยุ่ง ไม่อาจเป็นเหตุผล ใจอยู่ รักอยู่ มีห่วงมีใย ความสุขจึงเกิดได้ ไม่เสื่อมสลาย

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คาถาให้คนรักให้คนหลง


1. รู้จักทักทาย การทักทายใครต่อใครก่อน เป็นความน่ารักอย่างหนึ่ง สะท้อนให้เห็นความมีมิตรจิตมิตรใจ ทำให้ผู้ถูกทักทายรู้สึกดีว่าได้รับความใส่ใจ มีคนให้ความสำคัญ เราจะจำชื่อคนให้ได้ไปทำไมกัน ถ้าจำได้แล้วไม่รู้จักทักทายกัน?

2. วางตัวสบายๆ ได้หรือเปล่า จงเป็นคนที่วางตัวสบายๆ เสมอ เพื่อผู้อื่นจะได้ไม่รู้สึกเครียดเมื่ออยู่ใกล้ๆ คุณโปรดเป็นกันเอง อย่าถือเนื้อถือตัว อย่าเจ้ายศเจ้าอย่าง เพราะมันจะน่ารำคาญ น่าเกลียดน่ากลัว มากกว่าน่าเข้าใกล้

3. จำชื่อเขาให้ได้ ถ้ายังจำชื่อใครต่อใครไม่ได้ หรือจำผิดจำถูก แสดงว่าคุณไม่ใคร่สนใจไยดีหรือให้ความสำคัญในตัวเขานัก คุณรู้ไหมว่า ชื่อคนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความรู้สึกของคนอย่างมากมาย รีบจำชื่อเขาให้ได้ และเรียกให้ถูก

4. มีนิสัยง่ายๆ นิสัยง่ายๆ เป็นคนละเรื่องกับมักง่าย หากคุณเป็นคนง่ายๆ มีความยืดหยุ่นสูง และรู้จักผ่อนปรนอารมณ์ของคุณก็มักจะคงที่ ไว้ใจได้ ทำนายได้ ไม่แปรปรวนจนยากแก่การควบคุมหรือไว้ใจ คนง่ายๆ มักยอมรับและเข้าใจได้ แม้กับคนที่น่ารำคาญที่สุด ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้กับคนที่อารมณ์คงที่ ยืดหยุ่น และถือสาใครต่อใครน้อยมาก เพราะอะไร เพราะว่าบางครั้ง เราก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเราเองมีอะไรที่น่ารำคาญบ้าง ง่ายๆ วางใจ ไม่ถือสากันนี่ละ ดีที่สุด

5. อย่าอวดตัวเอง จงระวัง อย่าแสดงว่าคุณรู้อะไรๆ ไปหมดเสียทุกเรื่อง ไม่มีใครอยากจะชอบพอกับคนที่ฉลาดไปเสียทุกเรื่องหรอก บางเรื่องเขาก็อยากฉลาดบ้างเหมือนกัน ดังนั้นโปรดวางตัวตามธรรมชาติ (คือมีทั้งเรื่องที่รู้และไม่รู้) ถ่อมตน และสุภาพตามกาลเทศะจะดีกว่า

6. จงมีนิสัยร่าเริง เพื่อคนทั้งหลายจะได้ชอบอยู่ใกล้ และ “ติด” ในความร่าเริงที่คุณมี แล้วคุณจะได้รับความรู้สึกดีๆ ได้เรียนรู้ในสิ่งดีๆ จากคนเหล่านี้ เมื่อคบค้าสมาคมด้วย

7. จงพยายามแก้ไขความเข้าใจผิด คุณอาจเคยมองใครในแง่ร้ายๆ ไปบ้าง คุณอาจเคยถือสาการกระทำครั้งโน้นครั้งนี้ของเขา หากคุณมีเวลา จงพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดหรือความถือสาที่เคยมี รวมทั้งที่กำลังมีอยู่ให้หมดไป มิตรภาพไม่อาจก่อเกิดหรืองอกงามได้ ท่ามกลางความระแวงแคลงใจ จงขจัดความขุ่นข้องหมองใจ ความไม่ชอบใจ และความเจ็บใจให้หมด แล้วคุณจะเป็นคนน่ารักที่ไม่มีใครผูกใจเจ็บ

8. ทิ้งมันไป…นิสัยเสียๆ บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่า เรามีนิสัยอะไรที่เป็นข้อบกพร่องอยู่ในตัวบ้าง การเงี่ยหูฟังจากคนรอบข้าง จะช่วยให้เรารู้ เมื่อเรารู้แล้ว เรามีหน้าที่ต้องกำจัดนิสัยที่ทำให้คนอื่นตั้งเป็นข้อรังเกียจออกไป แม้ว่านิสัยบางอย่างนั้น อาจมีอยู่หรือทำไปโดยที่เราไม่ได้รู้ตัวมาตลอดก็ตาม

9. จงหัดชอบคนอื่นบ้าง น่าประหลาด… คนบางคนเกลียดใครต่อใครได้ไวมาก ลองหัดชอบคนอื่นจนกลายเป็นนิสัยดีไหม ชอบที่เขาเป็นอย่างนั้น ชอบที่เขาคิดอย่างนี้ ชอบในสิ่งที่เขาพูดจา ฯลฯ พึงท่องคาถาประจำใจเอาไว้ให้ตลอดเภิดว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยพบกับบุคคลที่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกชอบเลย”

10.ชมเชยให้เป็น อย่าละทิ้งโอกาสที่จะกล่าวคำชมเชย เมื่อใครคนใดคนหนึ่งใกล้ๆ ตัวคุณ ได้กระทำในสิ่งที่ดี เป็นแบบอยางต่อผู้อื่น หรือทำอะไรได้สำเร็จสักอย่างหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน ก็ต้องรู้จักแสดงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ ในความทุกข์ร้อนและความผิดหวังของพวกเขาด้วย พูดง่ายๆ ได้ว่า หัดเป็นคนมีหัวใจซะบ้าง!

ใครที่ชอบคิดว่าเราเข้ากับคนอื่นเค้าไม่ได้ ลองถามตัวเองใหม่นะว่า ทำไมเราถึงเป็นแบบนั้น เราชอบนินทารึเปล่า เราเก็บความลับหรือความไว้ใจของเพื่อนได้หรือไม่ หรือว่าเราไม่คุย หรือเราไม่ยิ้ม …. ลองสังเกตตัวเองดู แล้วคุณจะรู้เหตุผลของการมีเพื่อนมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับตัวเรานี้เอง

ที่มา : sakid.com/by สาระแห่งสุขภาพ

วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

10 อาหารต้องห้ามยามเป็นโรค


เรามักได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดถึงข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับการกินและข้อควรปฏิบัติ เช่น คนที่ร้อนในง่ายห้ามกินของร้อน (คุณสมบัติหยาง) ของทอดๆ มันๆ ของเผ็ด เช่น

- กินทุเรียนแล้วห้ามกินเหล้า

- กินทุเรียนแล้วควรกินมังคุดหรือกินน้ำเกลือตาม

- กินลำไยมากระวังตาจะแฉะ

- เวลาเริ่มเป็นหวัด เจ็บคอ ควรกินพวกยาขม

- เวลาร้อนใน ให้กินน้ำจับเลี้ยง หรือกินน้ำเก๊กฮวย

- หญิงปวดประจำเดือนห้ามกินของเย็น (ลักษณะหยิน) เช่น แตงโม น้ำมะพร้าว

- คนที่กินยาบำรุงจีน ห้ามกินผักกาดขาว หัวไชเท้า ฯลฯ เพราะจะล้างยา (ทำไห้ฤทธิ์ของยาน้อยลง) ฯลฯ

คำกล่าวเหล่านี้ก็มีในทัศนะทางการแพทย์แผนจีนมาจากพื้นฐานที่ว่า "อาหารคือยา อาหารและยามีแหล่งที่มาเดียวกัน" การเลือกกินอาหารให้เหมาะสมเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องประยุกต์เปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับภาวะที่เป็นจริงของบุคคล เงื่อนไขของเวลา และสภาพภูมิประเทศ (สิ่งแวดล้อม) จึงจะเกิดผลที่ดีต่อสุขภาพ

ในแง่ของคนไข้ การเลือกกินอาหารให้เหมาะสม จะทำให้โรคร้ายทุเลาลง ช่วยเสริมการรักษาและฟื้นฟูร่างกาย ในทางกลับกันการเลือกอาหารไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ย่อมทำให้โรคร้ายรุนแรง กำเริบและบั่นทอนสุขภาพมากขึ้น

อาหารแสลงหรืออาหารต้องห้าม ในความหมายที่กว้าง หมายถึง

๑. การกินอาหารที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป ก็เกิดโทษ

๒. การกินอาหารชนิดเดียวกัน ซ้ำซาก ก็เกิดโทษ

๓. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับภาวะร่างกายในยามปกติ (ลักษณะธาตุของแต่ละบุคคล)

๔. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับภาวะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือในขณะที่เป็นโรค

๕. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับยาสมุนไพรที่ใช้รักษาในขณะเป็นโรค

การกินอาหารมากไป หรือน้อยไป และการกินอาหารชนิดเดียวกันอย่างซ้ำซากได้กล่าวมาแล้วในครั้งก่อน ที่จะกล่าวต่อไป คือ หลักการหลีกเลี่ยงอาหารในขณะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคต่างๆ หรือภายหลังการฟื้นจากการเจ็บป่วย

อาหารกับโรค

๑. คนที่เป็นไข้หวัด ไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารที่เย็นมาก หรืออาหารทอด อาหารมัน ซึ่งล้วนแต่ทำให้ย่อยยาก ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมือน "อาหารเชื้อเพลิง" หรือการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ

๒. คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล หรือระบบการย่อยไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในร่างกายทำให้โรคหายยาก แนะนำให้กินอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง กินอาหารตามเวลา และเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย

๓. คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัว (ตามภาวะความเสื่อมของร่างกาย) ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ตับ สมอง ถั่ว น้ำมันหมู ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ น้ำมันเนย รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย(ความชื้นมีผลให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนต่อร่างกายทุกระบบ ความร้อนทำให้ภาวะร่างกายถูกกระตุ้น ทำให้ความดันสูง) นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด (ฤทธิ์กระตุ้น) หรืออาหารหวานมาก เช่น ลำไย ขนุน ทุเรียน ฯลฯ (คุณสมบัติร้อน) เราคงได้ยินบ่อยๆว่า มีคนที่เป็นโรคความดันสูง แล้วไปกินทุเรียนร่วมกับเหล้า แล้วหมดสติ เสียชีวิต จากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว

๔. คนที่เป็นโรคตับหรือโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอดๆ มันๆ อาหารหวานจัด เพราะแผนแพทย์จีนถือว่าตับ ถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของการรับสารอาหารเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย ให้เกิดเลือด พลัง การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้เกิดความร้อนความชื้น ทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอ ซึ่งจะทำให้เกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

๕. คนที่เป็นโรคหัวใจ โรคไต หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะรสเค็มทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า เป็นภาระต่อหัวใจในการทำงานหนักเพิ่มขึ้น ทำให้ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ขณะเดียวกัน อาหารที่มีรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนทำให้ต้องสูญพลังงานมาก และหัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้น โดยสรุปคือ ต้องลดการทำงานของหัวใจและไต โดยไม่เพิ่มปัจจัยต่างๆที่เป็นโทษเข้าไป

๖. คนที่เป็นโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน หรืออาหารประเภทแป้งที่มีแคลอรีสูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ฯลฯ แนะนำอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด ฯลฯ

๗. คนที่นอนหลับไม่สนิท ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน เพราอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือทำให้หลับไม่สนิท

๘. คนที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภท กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้มีความร้อนในตัวสะสมมาก ทำให้ท้องผูก ทำให้เส้นเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

๙. คนที่มีอาการลมพิษ ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นโรคหอบหืด ควรเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ ผลิตภัณฑ์นมหรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ รวมทั้งรสเผ็ด เพราะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นและทำให้มีอาการผื่น ผิวหนังกำเริบ

๑๐. คนที่เป็นสิว หรือมีการอักเสบของต่อมไขมัน ควรงดอาหารเผ็ดและอาหารมัน เพราะทำให้สะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด (ควบคุมผิวหนัง ขนตามร่างกาย) ทำให้เกิดสิว

หลักการทั่วไป ต้องหลีกเลี่ยงอาหารดิบๆ สุกๆ มีคุณสมบัติที่เย็นมาก ขณะเดียวกันอาหารที่ผ่านกระบวนการมาก อาหารที่ย่อยยาก อาหารทอดมันๆ อาหารรสเผ็ดจัด เหล้า บุหรี่ ฯลฯ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงภาวะเจ็บป่วยหรือขณะพักฟื้น เป็นภาวะระบบการย่อยดูดซึม (กระเพาะอาหารและม้าม) ทำงานไม่ดี การได้อาหารที่เย็นหรือย่อยยากจะทำให้การย่อย การดูดซึมมีปัญหามากขึ้น ทำให้ขาดสารอาหารมาบำรุงเลี้ยงร่างกาย และต้องสูญเสียพลังเพิ่มขึ้นในการทำงานของระบบย่อย อาหารเผ็ด เหล้า และบุหรี่ มีฤทธิ์กระตุ้นและเพิ่มความร้อนในร่างกายทำให้มีการใช้พลังงานมากโดยไม่จำเป็น

อาหารแสลงในทัศนะแพทย์แผนจีน คือ อาหารที่ไม่เย็น (ยิน) หรืออาหารที่ไม่ร้อน (หยาง) จนเกินไป กล่าวคือต้องไม่ดิบ (ต้องทำให้สุก) และต้องไม่ผ่านกระบวนการที่ทำให้เกิดคุณสมบัติร้อนมากเกินไป (ทอด ย่าง ปิ้ง เจียว ผัด) เพราะสุดขั้วทั้งสองด้านก็ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย

อาหารดิบ ไม่สุก :

ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก ทำให้เสียสมรรถภาพการย่อยดูดซึมอาหารตกค้าง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด ขาดสารอาหาร

อาหารร้อนเกินไป :

ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก มีความร้อนความชื้นสะสม เกิดความร้อนใน ร่างกายมากเกินไป ไปกระทบกระเทือนอวัยวะอื่นๆ เช่น กระทบปอด ลำไส้ ทำให้ท้องผูก เจ็บคอ ปากเป็นแผล กระทบตับ ทำให้ความดันสูง ตาแฉะ อารมณ์หงุดหงิด กระทบไต ทำให้ปวดเมื่อยเอว ผมร่วง ฯลฯ

อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด

จะได้สารและพลังจากธรรมชาติมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ความเห็นในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แนะนำให้กินผักสด ผลไม้สด ซึ่งไม่น่าขัดแย้งกัน เพราะเทคนิคการทำอาหารของจีน ต้องไม่ให้ดิบ และสุกเกินไป เพื่อดูดซับสารและพลังจากธรรมชาติให้มากที่สุด ดิบเกินไปจะทำให้เกิดพิษจากอาหาร สุกเกินไปทำให้เสียคุณค่าอาหารทางธรรมชาติ การเลือกกินอาหารที่ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและมีการปรุงแต่งที่มากเกินไปจะทำให้อาหารฮ่องเต้กลายเป็นอาหารชั้นเลวในแง่หลักโภชนาการ

การเลือกอาหารให้สอดคล้องเหมาะสม ไม่ใช่สูตรตายตัว แต่ต้องยืดหยุ่นพลิกแพลง และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาวะที่เป็นจริงของแต่ละบุคคล เวลา (เช่น ภาวะปกติ ภาวะป่วยไข้ กลางวัน กลางคืน ฤดูกาล) และสถานที่ (ภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อม) เพื่อให้เป็นธรรมชาติและยังประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

ข้อมูล : facebook นิตยสารหมอชาวบ้าน