วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การจัดการโรคพืช


แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วสารกำจัดเชื้อราและสารกำจัดเชื้อแบคทีเรีย  จะมีความเป็นพิษต่ำกว่าสารกำจัดแมลง   แต่เราก็ควรพยายามลดการใช้สารเหล่านั้นเท่าที่จะเป็นไปได้  ในระบบการจัดการศัตรูพืชวิธีผสมผสานนั้นจะต้องมีการค้นหาวิธีการอื่นๆ มาใช้จัดการโรคพืชเป็นลำดับแรก
การจัดการศัตรูพืชนั้นมีอยู่หลายวิธี แต่เกษตรกรหลายๆคนมักเลอกใช้วิธีการควบคุมด้วยสารเคมีกำจัดแมลงสังเคราะห์  ซึ่งเป็นวิธีการที่อันตรายและเกิดการทำลายล้างสูงที่สุด  ซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม  สารกำจัดศัตรูพืชสังเคราะห์ควรจะเป็นเพียงทางเลือกสุดท้ายหลังจากที่ได้ลองใช้ทางเลือกอื่นๆ แล้ว
การจัดการแมลงสามารถทำได้โดย:

1.การใช้พืชพันธุ์ต้านทานหรือทนทาน

2.การปลูกพืชหมุนเวียน

3.การปลูกพืชสลับ

4.สารสกัดจากพืช (เช่น สกัดจากสะเดา)

5.ชีวภัณฑ์: โรคแมลง
-  บาซิลลัส ทูริงเยนซิส (บีที)
-  เชื้อไวรัส เอ็น พี วี
-  ไส้เดือนฝอยสไตเนอร์นีมา
-  เชื้อราบิวเวอร์เรีย

6.การควบคุมทางชีวภาพ
-  ตัวห้ำ
-  ตัวเบียน

7.การใช้กับดัก
-  เช่น กับดักกาวเหนียวสีเหลือง

8.การจัดการสภาพอากาศในแปลงปลูกพืช
-  การตัดแต่ง
-  การถอนแยก
-  การให้น้ำ
-  การคลุมดิน

9.การควบคุมด้วยสารเคมี
-  ใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น
-  เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีพิษต่ำที่สุดที่สามารถหาได้
-  หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต และคาร์บาเมต
-  ห้ามใช้สารเคมีก่อมะเร็ง หรือสารที่มีผลยับยั้งต่อมไร้ท่อ
-  ก่อนการใช้สารเคมีใดๆ ควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีชนิดนั้นๆ ก่อน

วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2560

โรคพืชผักและการป้องกันกำจัดศัตรูพืช


โรครากเน่า รากของต้นพืชเกิดอาการเน่าสีดำ หรือสีน้ำตาล เปลือกหลุดล่อน เกิดได้จากการทำลายของเชื้อรา และน้ำท่วมขัง  ใช้ยา Terraclor

โรครากปม รากต้นพืชมีอาการบวมพองออก ลักษณะเป็นปุ่มปม อาการพองหรือปมจะเกิดจากภายในรากออกมา มักเกิดจากการทำลายของไส้เดือนฝอย ใช้วิธีปล่อยน้ำท่วม

โรคเน่าคอดิน หรือโรคต้นกล้าเน่า บริเวณโคนต้นพืช เกิดแผลเน่าและมีการลุกลามขยาย โดยมักทำให้เปลือกต้นเน่าเป็นสีน้ำตาลหรือสีดำ   หากถากเปลือกออก  ส่วนเนื้อลำต้นมักมีอาการของแผลเน่าสีน้ำตาล หรือสีน้ำตาลแดง   ส่วนมากเกิดจากการทำลายของเชื้อรา ใช้ยา Thiram

โรคยอดแห้งตาย อาการแห้งตาย  จะพบที่ยอดก่อน ต่อมาจะลุกลามมาตามกิ่งก้าน  จนในที่สุดอาจตายทั้งกิ่งหรือทั้งต้นได้ โรคนี้ส่วนมากเกิดจากเชื้อราเช่น  โรคยอดแห้งของส้มและมะนาว เป็นต้น ต้นพืชหลายชนิดที่ปลูกในบ้านอาจเกิดอาการยอดแห้งตาย เนื่องจากถูกแสงแดดจัดเผา หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้หลายสาเหตุ ใช้ยา Metalaxyl

โรคใบจุด เกิดเป็นแผลที่ใบ มีรูปร่างแตกต่างกันแล้วแต่สาเหตุที่เข้าทำลาย ขนาดของแผลอาจเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ บนใบ อาจเกิดกระจายกันทั่วทั้งใบ ถ้าเกิดจุดแผลมาก ๆ อาจจะทำให้ใบแห้งได้ โรคใบจุดของพืชส่วนมากเกิดจากเชื้อราและแบคทีเรีย เช่น โรคใบจุดของถั่วเขียว โรคใบจุดของคึ่นฉ่าย  โรคใบจุดของถั่วฝักยาว เป็นต้น  ใช้ยา Mancozeb

โรคใบไหม้ เกิดแผลแห้งตาย ขนาดของแผลใหญ่กว่าอาการใบจุด ขอบเขตของแผลจะลุกลามขยายได้กว้างขวางกว่า  การไหม้อาจเกิดที่กลางใบ  ปลายใบ  หรือขอบใบก็ได้  ส่วนมากเกิดจากเชื้อราและแบคทีเรีย เช่น โรคใบไหม้ของทานตะวัน โรคใบไหม้ของเบญจมาศ เป็นต้น ใช้ยา Matalaxyl

โรคแอนแทรคโนส ใบพืชที่เกิดโรคนี้ จะเป็นแผลแห้งสีน้ำตาล ส่วนมากจะเห็นเชื้อรามีลักษณะเรียงเป็นวงซ้อน ๆ  กันค่อนข้างชัดเจนในบางพืช  โรคนี้เกิดได้ทั้งบนใบ กิ่ง และผล สาเหตุเกิดจากเชื้อรา  เช่น โรคแอนแทรคโนสของพริก มะละกอ  มะม่วง  กล้วยไม้  และไม้ใบประดับหลายชนิด ใช้ยา Benomyl, Mancozeb

โรคราน้ำค้าง อาการโรคราน้ำค้างพบมากในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น ข้าวโพด มักพบอาการใบลายเป็นแถบสีเหลืองเขียวสลับกันตามความยาวของใบ  ถ้าอากาศชื้น ๆ อุณหภูมิพอเหมาะ จะพบผลสปอร์ของเชื้อสีขาว ๆ เกาะติดที่ใบ ในพืชใบเลี้ยงคู่ เช่น พืชตระกูลแตง จะเห็นใบมีอาการเป็นแผลจุดเหลี่ยมสีน้ำตาลใช้ยา Metalaxyl

โรคราแป้งขาว โรคนี้เกิดจากเชื้อรา โดยจะพบผงแป้งสีขาวๆ เกาะติดที่ใบ คล้าย ๆ กับเอาแป้งไปโรยคลุมกระจายตามส่วนต่างๆ ของใบ หรือทั่วทั้งใบ ต่อมาใบจะเหลืองและแห้งตาย เช่น โรคราแป้งขาวของบานชื่น  และโรคราแป้งขาวของกุหลาบ  เป็นต้น ใช้ยา Benomyl

โรคราดำ โรคนี้จะมีอาการเป็นผงคล้ายเขม่าดำคลุมผิวใบ หรือส่วนอื่น ๆ ของพืช เมื่อใช้มือลูบผงสีดำ ซึ่งเป็นส่วนของเส้นใยและสปอร์ของเชื้อราจะหลุดออก เชื้อราชนิดนี้  จะไม่แทงเข้าไปในใบพืช เพียงแต่ขึ้นเจริญปกคลุมผิวใบ ส่วนมากพบภายหลังการทำลายของเพลี้ยจักจั่น  เพลี้ยแป้ง  หรือแมลงหวี่ขาว เนื่องจากราชนิดนี้จะขึ้นเจริญบนน้ำหวานที่แมลงเหล่านั้นขับถ่ายออกมา  โรคนี้ที่พบมาก เช่น  โรคราดำของมะม่วง โรคราดำของมะยม ใช้ยา Zineb

โรคใบด่าง มีหลายลักษณะ แล้วแต่สาเหตุที่ทำให้เกิดโรค อาจเกิดจากเชื้อไวรัส  เกิดจากการขาดธาตุอาหาร หรือลักษณะกลายพันธุ์ของพืช  สำหรับอาการใบด่างที่เกิดจากไวรัส   ส่วนมากมีสีเหลืองสลับเขียว  เนื้อใบไม่เรียบเป็นคลื่น   และใบมีรูปร่าง  ผิดปกติ เช่น โรคใบด่างของกล้วยไม้   โรคใบด่างของยาสูบ  และโรคใบด่างของผักต่าง ๆ  บางครั้งอาจจะพบอาการด่างเป็นวงแหวน เช่น  โรคใบด่างวงแหวนของมะละกอ  หรือโรคใบด่างวงแหวนของกุหลาบ   ต้องถอนเผาทำลายทิ้ง

โรคใบหงิก ใบจะหงิกม้วนงอเป็นคลื่น หรือมีอาการยอดหงิก ต้นพืชจะแคระแกร็น มีการเจริญเติบโตช้า และพืชทั้งต้นจะมีขนาดเล็กลง เมื่อเปรียบเทียบกับต้นปกติ โรคนี้เกิดจากไวรัส เช่น โรคใบหงิกของมะเขือเทศ โรคใบหงิกของยาสูบ เป็นต้น ต้องถอนทำลายทิ้ง

โรคใบขาว ใบจะมีสีขาวซีด และต้นแคระแกร็น  เนื่องจากพืชไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ตามปกติ เช่น โรคใบขาวของอ้อย   เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไฟโตพลาสมา   ทำให้อ้อยมีการแตกลำน้อย   และน้ำหนักของลำอ้อยลดลงมาก หรือโรคใบขาวของหญ้าแพรก โรคใบขาวของหญ้านวลน้อย หรือโรคใบขาวของหญ้ามาเลเซีย เป็นต้น พืชหลายชนิดที่ปลูกในกระถางเป็นเวลานาน ๆ และไม่มีการเปลี่ยนดิน  หรือเครื่องปลูก มักทำให้ดินแน่นและต้นพืชเกิดการขาดอาหาร ต้นพืชอาจแสดงอาการซีดเหลืองได้เช่นกัน

โรคเมล็ดเน่า-เมล็ดด่าง เมล็ดจะเน่าและไม่สามารถงอกเป็นต้นใหม่ได้  เพราะมีเชื้อโรคหลายชนิดเข้าทำลาย เช่น เชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น  มักเกิดขึ้นในกรณีที่เก็บรักษาเมล็ดไม่ดี เช่น  เมล็ดที่มีความชื้นสูง หรือเปียกน้ำ หรืออาจมีเชื้อโรคติดปนเปื้อนอยู่กับเมล็ด

โรคเน่าเละ อาการเน่าเละสีน้ำตาลอ่อน มีกลิ่นเหม็นรุนแรง  เกิดได้ทั้งผล  ราก  หัว  และใบของพืชผัก เมื่อเป็นโรคนี้ ผักจะเน่าเละทั้งต้น หรือทั้งหัว   สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคเน่าเละของปทุมมาและกระเจียว โรคเน่าเละของชวนชม โป๊ยเซียน กระบองเพชรและกุหลาบหิน

โรคเหี่ยว ต้นพืชอาจแสดงอาการเหี่ยวเฉาในลักษณะต่างๆ กัน เช่น  การเหี่ยวเนื่องจากการขาดน้ำ เมื่อได้น้ำก็จะฟื้นปกติ อาการเหี่ยวใบเหลืองลู่ เนื่องจากเชื้อราไปทำลายท่อน้ำ  และท่ออาหารของพืช สาเหตุโรคเหี่ยวเกิดจากการทำลายของเชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด เช่น  โรคเหี่ยวของมะเขือเทศ โรคเหี่ยวของพืชตระกูลแตง โรคเหี่ยวของกล้วย โรคเหี่ยวของพริก เป็นต้น

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

น้ำส้มควันไม้


น้ำส้มควันไม้ ควันที่เกิดจากการเผาถ่าน   ในช่วงที่ไม้กำลังเปลี่ยนเป็นถ่าน เมื่อทำให้เย็นลงจนควบแน่นแล้วกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ  ของเหลวที่ได้นี้ได้เรียก  น้ำส้มควันไม้ ส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดอะซิติกมีความเป็นกรดต่ำมีสีน้ำตาลแดง  นำน้ำส้มควันไม้ที่ได้ทิ้งไว้ในภาชนะพลาสติกประมาณ  3  เดือน   เก็บไว้ในที่ร่มมาสั่นสะเทือน เพื่อให้นำส้มควันไม้ที่ได้ตกตะกอนและแยกตัวเป็น 3 ชั้น คือ  น้ำมันเบา  น้ำส้มไม้  และน้ำมันทาร์ จากนั้นแยกน้ำส้มไม้มาใช้ประโยชน์ต่อไป
น้ำส้มควันไม้ผลพลอยได้จากการเผาถ่าน
        เตาเผาถ่าน 200 ลิตร  เป็นเตาที่มีประสิทธิภาพสูง  เตาประเภทนี้อาศัยความร้อนไล่ความชื้นในเนื้อไม้ที่มีอยู่ในเตา ทำให้ไม้กลายเป็นถ่าน  หรือเรียกว่ากระบวนการคาร์บอนไนเซชั่น  ผลผลิตที่ได้จึงเป็นถ่านที่มีคุณภาพ ขี้เถ้าน้อยและผลพลอยได้จากการเผาถ่านคือ น้ำส้มควันไม้

ขั้นตอนการเผา
ช่วงที่ 1 ไล่ความชื้นหรือคลายความร้อน
เริ่มจุดไฟเตา บริเวณที่อยู่หน้าเตา ใส่เชื้อเพลิงให้ความร้อนกระจายเข้าสู่เตาเพื่อไล่อากาศเย็นและความชื้นที่อยู่ในเตาและในเนื้อไม้ควันที่ออกมาจากปล่องควันจะมีสีขาว ควันจะมีกลิ่นเหม็นซึ่งเป็นกลิ่นของกรดประเภทเมธานนอลที่อยู่ในเนื้อไม้  อุณหภูมิปากปล่องควันประมาณ 70 – 75 องศาเซลเซียส อุณหภูมิในเตาประมาณ 150 องศาเซลเซียส ใส่เชื้อเพลิงต่อไป ควันสีขาวตรงปล่องควันจะเพิ่มขึ้น อุณหภูมิในเตาประมาณ 20 – 25 องศาเซลเซียส ควันมีกลิ่นเหม็นฉุน

ช่วงที่ 2 เมื่อไม้กลายเป็นถ่าน หรือปฏิกิริยาคลายความร้อน
เมื่อเผาไปอีกระยะหนึ่ง  ควันสีขาวจะเริ่มบางลงและเปลี่ยนเป็นสีเทาอุณหภูมิบริเวณปากปล่องควัน ประมาณ 80 – 85 องศาเซลเซียส อุณหภูมิภายในเตาประมาณ 300 – 400 องศาเซลเซียส ไม้ที่อยู่ในเตาจะคลายความร้อนที่สะสมเอาไว้เพียงพอที่จะทำให้อุณหภูมิในเตาเพิ่มสูงขึ้น  ในช่วงนี้ค่อยๆ ลดการป้อนเชื้อเพลิงลงจนหยุดป้อนเชื้อและเริ่มเก็บน้ำส้มควันไม้  หลังจากหยุดการป้อนเชื้อเพลิงหน้าเตา  จะต้องควบคุมอากาศ โดยการหรี่หน้าเตา  หรือลดพื้นที่หน้าเตาลงให้เหลือช่องพื้นที่หน้าเตาประมาณ 20 – 30 ตารางเซนติเมตร สำหรับให้อากาศเข้า  เพื่อรักษาระดับของอุณหภูมิในเตาไว้ให้นานที่สุด   ช่วงที่เหมาะสมกับการเก็บน้ำส้มควันไม้ควรมีอุณหภูมิบริเวณปากปล่องคันประมาณ 85 – 120 องศาเซลเซียส   เนื่องจากเป็นช่วงสารในเนื้อไม้ถูกขับออกมาจากนั้นควันก็เปลี่ยนจากสีเทาเป็นสีน้ำเงิน  จึงหยุดเก็บน้ำส้มควันไม้อุณหภูมิบริเวณปากปล่องควันประมาณ 100 – 200 องศาเซลเซียส อุณหภูมิในเตาประมาณ 400 – 450 องศาเซลเซียส

ช่วงที่ 3 ช่วงทำถ่านให้บริสุทธิ์
ขั้นตอนนี้เป็นช่วงที่ไม้จะเปลี่ยนเป็นถ่าน  ต้องทำการเพิ่มอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว  โดยการเปิดหน้าเตา ประมาณ1 ใน 3 ของหน้าเตาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที  เมื่อควันสีน้ำเงินเป็นสีฟ้าแสดงว่าไม้เริ่มเป็นถ่านใกล้หมด จากนั้นควันสีฟ้าอ่อนลงและจะกลายเป็นควันใสแทนเมื่อมีควันใสเริ่มทำการปิดหน้าเตา โดยใช้ดินเหนียวปิดรอยรั่วจากนั้นทำการปิดปล่องควันให้สนิทและอุดรูรั่วทั้งหมด  ไม่ให้อากาศภายนอกผ่านเข้าได้

ช่วงที่ 4 ช่วงการทำให้ถ่านในเตาเย็นลง
เกลี่ยดินบนเตาออกให้เห็นหลังเตาเพื่อระบายความร้อนในเตา  จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 1 คืน  หรือประมาณ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย  เพื่อให้ถ่านดับสนิทแล้วจึงเริ่มการเปิดเตา  เพื่อนำถ่านออกจากเตาและนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
ผลผลิตที่ได้จากการเผาถ่านไม้เงาะ 100 กิโลกรัม
   - น้ำส้มควันไม้      8   ลิตร
   - ถ่าน         25   กิโลกรัม
อัตราส่วน
น้ำส้มควันไม้: น้ำ   การใช้ประโยชน์
1 : 20 - พ่นลงดินเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นประโยชน์และแมลงในดิน   ซึ่งควรทำก่อนการเพาะปลูก 10 วัน
1 : 50 - พ่นลงดินเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำลายพืช หากใช้ความเข้มข้นที่มากกว่านี้  รากพืชจะได้รับอันตราย
1 : 100 - ราดโคนต้นไม้รักษาโรครา  และโรคเน่ารวมทั้งป้องกันแมลงมาวางไข่
1 : 200 - พ่นใบไม้รวมทั้งพื้นดินรอบๆต้นพืชทุก ๆ 7-15 วันเพื่อขับไล่แมลงและป้องกันเชื้อรา และรดโคนต้นไม้เพื่อเร่งการเจริญเติบโต
1 : 500 - พ่นผลอ่อนหลังจากติดผลแล้ว 15 วัน ช่วยขยายผลให้โตขึ้นและพ่นอีกครั้งก่อนเก็บเกี่ยว 20 วัน เพื่อเพิ่มน้ำตาลในผลไม้
1 : 1,000   - พ่นลงดินเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นประโยชน์และแมลงในดิน   ซึ่งควรทำก่อนการเพาะปลูก 10 วัน
- พ่นลงดินเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำลายพืช หากใช้ความเข้มข้นที่มากกว่านี้  รากพืชจะได้รับอันตราย
- ราดโคนต้นไม้รักษาโรครา  และโรคเน่ารวมทั้งป้องกันแมลงมาวางไข่
- พ่นใบไม้รวมทั้งพื้นดินรอบๆต้นพืชทุก ๆ 7-15 วันเพื่อขับไล่แมลงและป้องกันเชื้อรา และรดโคนต้นไม้เพื่อเร่งการเจริญเติบโต
พ่นผลอ่อนหลังจากติดผลแล้ว 15 วัน ช่วยขยายผลให้โตขึ้นและพ่นอีกครั้งก่อนเก็บเกี่ยว 20 วัน เพื่อเพิ่มน้ำตาลในผลไม้
เป็นสารจับใบ  เนื่องจากสารเคมีสามารถออกฤทธิ์ได้ดีในสารละลายที่เป็นกรดอ่อนๆ ช่วยเสริมประสิทธิภาพสารเคมีทำให้สามารถลดการใช้สารเคมีมากกว่าครึ่งด้วย

ข้อควรระวังในการใช้น้ำส้มควันไม้
   1.  ก่อนนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ ต้องทิ้งไว้จากการเก็บก่อนอย่างน้อย 3 เดือน
   2.  เนื่องจากน้ำส้มควันไม้มีความเป็นกรดสูง  ควรระวังอย่าให้เข้าตา อาจทำให้ตาบอดได้
   3.  น้ำส้มควันไม้ไม่ใช่ปุ๋ย แต่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ดังนั้นการนำไปใช้ทางการเกษตรจะเป็นตัวเสริมประสิทธิภาพให้กับพืช แต่ไม่สามารถใช้แทนปุ๋ยได้
   4.  การใช้เพื่อฆ่าจุลินทรีย์และแมลงในดินที่เป็นโทษควรทำก่อนเพาะปลูกอย่างน้อย 10 วัน
   5.  การนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ต้องผสมน้ำให้เจือจางตามความเหมาะสมที่จะนำไปใช้
   6.  การฉีดพ่นน้ำส้มควันไม้เพื่อให้ดอกติดผล   ควรพ่นก่อนที่ดอกจะบานหากฉีดพ่นหลังจากดอกบานแมลงจะไม่เข้ามาผสมเกสรเพราะมีกลิ่นฉุนของน้ำส้มควันไม้ และดอกจะหลุดร่วงง่าย

วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ระวัง! เด็กหลับคาขวดนม เสี่ยงฟันผุ


สาเหตุของฟันผุ เกิดจากการที่เด็ได้รับอาหารที่มีรสหวาน ทั้งนมหวานและน้ำผลไม้ต่างๆ ซึ่งแบคทีเรียที่อยู่ในปากจะย่อยน้ำตาลสร้างกรดขึ้นมาทำอันตรายต่อฟัน เมื่อเกิดซ้ำๆหลายๆครั้ง ก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฟันผุได้ ความถี่และระยะเวลาที่เด็กดูดดนมถือเป็นปัจจัยร่วม ที่ทำให้ฟันผุเช่นเดีนวกัน แต่การป้องกันฟันผุจากขวดนมสามารถทำได้ โดยทุกครั้งหลังการให้นมเด็ก ให้ใช้ผ้าหรือผ้าก๊อวที่สะอาดชุบน้ำหมาดๆ แล้วเช็ดบริเวณเหงือกของเด็กให้ทั่วทั้งปาก และควรเริ่มแปรงฟันให้เด็กทันทีที่ฟันน้ำนมซี่แรกขึ้นมาเมื่อเด้กอายุประมาณ 6 เดือน ให้ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ และจำกัดปริมาณของยาสีฟัน โดยแตะขนแปรงเป็นจุดเท่านั้น รวมทั้งให้ใช้ไหมขัดฟันให้เด็ก เมื่อเด็กมีฟันน้ำนมขึ้นครบทั้ง 20 ซี่แล้ว ประมาณ 2-3 ขวบ

ที่สำคัญพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือผู้เลี้ยงดูเด็ก ควรให้ความเอาใจใส่ในการทำความสะอาดฟันให้เด็กทุกวัยด้วยการแปรงฟันก่อนนอน ก็จะช่วยให้เด็กมีสุขภาพช่องปากที่ดีไปอีกนาน

วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560

"ข้าวเหนียวมะม่วง" กินอย่างไรไม่เสียสุขภาพ


      "ข้าวเหนียวมะม่วง" ขนมหวานไทยที่ได้รับความนิยมมานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าร้อน เป็นของหวานที่ให้พลังงานสูง แต่เป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆ คน ดังนั้นจึงต้องมีเทคนิคในการกินซักหน่อย กินอย่างไรถึงจะดีกับสุขภาพ ไม่เพิ่มน้ำหนัก

       มะม่วงสุกครึ่งลูก (ขนาดกลาง) จะได้พลังงานประมาณ 70 กิโลแคลอรีและข้าวเหนียวมูล 1 ขีด จะให้พลังงาน 280 กิโลแคลอรี เมื่อรวมกันแล้วจะเท่ากับ 350 กิโลแคลอรี

      1. ให้หนักมะม่วงมากกว่าข้าวเหนียว

      2. ใช้ข้าวเหนียวดำเพราะมีไฟเบอร์และแอนตี้ออกซิแดนท์ชั้นดี

      3. มื้อใดกินข้าวเหนียวมะม่วงมื้อนั้นไม่ควรรับประทานข้าวแล้ว

      4. ให้ถือข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอาหารมื้อหนักมื้อหนึ่ง

      5. รับประทานทีละชุดเล็ก

      6. ขอให้รับประทานช่วงเวลากลางวันจะดีกว่ามื้อเย็นหรือก่อนนอน

      7. ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ต้องระมัดระวัง

      8. คนสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว อาจจะกินข้าวเหนียวมะม่วงได้มากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์

      9. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง ควรกินมะม่วงสุกแต่น้อย กินครั้งละไม่เกิน 1 ผล

      10. ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง เพราะข้าวเหนียวกับกะทิมีความหวานและมันสูง

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

อ่านให้จบก่อนแม่จะสิ้นลม



...บ้านพักคนชราที่ผมไปเยี่ยมเยืยนมาหลังวันเกิดในเดือนที่แล้ว
เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ไม่ใหญ่โตนัก ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของวัดเล็กๆ ที่สมภารเจ้าอาวาสอดีตนักเรียน โรงเรียนเดียวกับผม ท่านเอาเงินที่ญาติโยมศรัทธาถวายท่านมาปลูกสร้างเพื่อให้ผู้เฒ่าผู้ชราได้มาพักอาศัย ยามเมื่อขาดที่พึ่งพิง มีโยมผู้หญิงวัยกลางคนไร้ญาติและสิ่งเกาะเกี่ยวทางโลกมาบำเพ็ญธรรมโดยไม่บวชชี ท่วงท่าเจรจาพาทีดูสำรวมราบเรียบ พร้อมเด็กวัดลูกชาวบ้านแถบนั้นแวะเวียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้ดูแลผู้ชราทั้งหญิงชายที่ถูก ทอดทิ้งรวม 13 ชีวิต ค่าจ้างคนดูแล น้ำไฟ เสื้อผ้ายารักษาโรค ข้าวปลาอาหาร สมภารใจดีอดีตนักเรียนช่างกลที่รอดตายมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหมาจ่ายคนเดียว โดยม่เคยพิมพ์ฏีกา เรี่ยไรใคร

...พูดคุยกับท่านหลายเรื่องจนตอนจะลากลับผมควักเงิน 500 บาท ใส่ซองถวายท่านเป็นค่าใช้จ่าย ท่านจึงนึกอะไรขึ้นมาได้ชวนผมเดินลงจากศาลาไปที่บ้านพักคนชราแห่งนั้น เปิดนรกบนดินอีกขุมหนึ่งให้ คนบาปอย่างผมมีดวงตาเห็นธรรมโดยไม่ต้องฟังเทศน์เทียบชาดกบทใดๆ หญิงชรารูปร่างเล็กผิวสองสีบอบบางทอดกายเหยียดตรงบนเตียงเล็กๆ แต่สะอาด มีผ้าห่มผืนบางๆ ห่มปิดทรวงอกที่ยังกระเพื่อมเบาๆ ราวเครื่องยนต์ใกล้ดับอย่างเหนื่อย หน่าย แม่เฒ่าพยายาม ยกขึ้นประนมไหว้เมื่อท่านสมภารพาผมมานั่งอยู่ข้างขอบเตียง กังวานน้ำเสียงแห่งพุทธบุตรผู้เมตตาเปล่ง วาจาถามไถ่อาการและให้ศีลให้พรเบาๆ แต่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ หยาดน้ำตาแห่งความ ปิติ ท่วมท้นดวงตาสี ขาวขุ่นแล้วค่อยๆ ซึมเซาะรินไหลไปตามร่องขอบตาที่เหี่ยวย่นบนใบหน้า เวทนาบังเกิดจนผมต้องเบือน หน้าหนี ผู้เฒ่าอายุ 91 ปี อาวุโสสูงสุดในจำนวน 13 คนชราของที่นี่ เรื่อง ราวทั้งหลายในอดีต ยังเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน...

...แม่เฒ่ามีลูกชายสองคนและหญิงหนึ่งคน 60 ปีที่ผ่านมาครอบครัวแม่เฒ่าจัดอยู่ใน ระดับผู้มีอันจะกินของจังหวัด สามีของแม่เฒ่ามีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ก่อร่างสร้างตัวจากกรรมกรกิน ค่าแรงรายวันโดย แม่เฒ่ารับจ้าง ทอผ้าอยู่ในโรงงงานแห่งหนึ่ง อดออมสะสมจนฐานะดีขึ้น สามารถ สร้างหลักฐานจนมีที่ดินบ้านช่องสมฐานะ แต่สามีก็ยังทำงานหนักไม่ยอมพักหวังจะฟูมฟักลูก 3 คนให้ อยู่อบอุ่น กินอิ่มโดยไม่ต้อง ลำบากช่วงนั้นแม่เฒ่าเลิกทอผ้าแล้วอยู่บ้านเลี้ยงลูก 3 คนที่อยู่ในวัยซวนไล่ เรียงตามลำดับ เช้าวันหนึ่งเมื่อลูกชายคนโตอายุได้ 6 ขวบสามีของแม่เฒ่าก็หลับไปไม่ ตื่นมาร่ำลา หมอที่ โรงพยาบาลบอกว่าสามีตับแข็งตายทั้งๆ ที่ไม่เคยแตะเหล้าซักหยด แม่เฒ่าเปลี่ยนสภาพบ้านพักเปิด เป็นร้านค้าโชห่วยขายของสารพัดชนิดอดทนอดออมเลี้ยงลูกทั้ง 3 คน ให้ร่ำเรียนจนจบปริญญา ครอบครัว อบอุ่นพี่น้องรักใคร่กันดี ไม่มีเค้าลางว่าจะแตกหักดั่งหนึ่งคนละสายเลือด ลูกชายคนโตแต่งงานไป กับลูกสาวเจ้าของร้านขายทองในตลาด ในชีวิตของแม่เฒ่าไม่เคยมีความสุขครั้งไหน เหมือนวันที่ลูกชายแต่ง งานสมบัติที่มีแม่เฒ่าจัดแบ่งเป็นสามส่วนให้ลูกชายคนโตเปิดร้านขายทองตามที่สะใภ้ต้องการ

...ปีต่อมา ลูกคนที่สองแต่งสาวเข้าบ้านอีกคนแม่เฒ่ายกบ้านและที่ดินที่เปิดร้านขายของสอง คูหาสามชั้นให้เป็นสมบัติ ของลูกด้วยความยินดีโดยที่แม่เฒ่าขอสิทธิ์แค่อยู่อาศัย สองปีถัดมาลูกสาวคน สุดท้องแต่งกับข้าราชการระดับหัวหน้ากองในจังหวัด แม่เฒ่ายกที่ดินและเงินสดก้อนสุดท้ายของแม่เฒ่า รับขวัญลูกเขยด้วยความปรีดา

...สัตว์โลกทั้งหลายล้วนเวียนว่ายก่อเกิดเพื่อมาชดใช้กรรมเก่า
สะใภ้คนที่สองเริ่มจุดประกายแห่งการแตกหัก ตั้งแต่แต่งเข้าบ้านไม่เคยแม้แต่เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว แม่เฒ่ากลายเป็นทาสในเรือนซักผ้าทำกับข้าวจัด สำรับคับค้อน ตั้งโต๊ะคอยท่าสองผัวเมียกินก่อนจนอิ่ม แม่เฒ่าจึงมีโอกาสได้กินของเหลือ ก่อนจะเก็บกวาดถ้วยชามไปล้าง กวาดเช็ดบ้านช่องเรียบร้อยแล้ว จึงได้พักผ่อนด้วยการเดินออกไปคุยกับเพื่อนบ้านในวัยไล่เลี่ยกัน สะใภ้สองเข้มงวดแม้แต่ของสดทุกชนิดที่ซื้อมาทำกับข้าว ต้องถามราคาแล้วยกไปชั่งน้ำหนัก ราคา สินค้ากับเงินทอนที่เหลือต้องตรงกับเงินที่ให้ไปตลาด แต่แม่เฒ่าก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์

...แล้ววันหนึ่งสะใภ้สองก็จัดระเบียบการกินใหม่ หล่อนไปสั่งผูกปิ่นโตเพื่อนกินกันแค่สองผัวเมีย แล้วสั่งให้ผัวจ่ายเงินให้แม่เฒ่าแค่วันล่ะยี่สิบบาทไปหากินเอาเองด้วยเหตุผลโง่ๆ คือต้องการประหยัด แต่ลึก ๆ ในใจไม่ต้องการให้แม่ผัวเม้นส่วนเกิน แม่เฒ่าคิดเอาเองว่าลูกๆ คงไม่อยากให้แม่เหนื่อย จึงน้อมรับประกาศิตลูกสะใภ้ด้วยดุษฏี สองสามวันต่อมาแม่เฒ่าก็ลืมสิ้นเพราะความรักลูก หลายครั้งที่แม่เฒ่าคิดถึงลูกชายคนโตที่เปิดร้านขายทองในตลาด แม่เฒ่าจะเจียดเงินที่เก็บออมไว้ ซื้อผลไม้ที่ลูกชอบติดมือไปด้วย แต่ทุกครั้งที่แม่เฒ่าเดินเข้าไปในบ้านสะใภ้ใหญ่จะมองอย่างเหยียดๆ แล้วเดินหนีเข้าห้องแอร์ปิดประตูนอนดูโทรทัศน์ สั่งคนใช้ให้คอยสอดส่องเดินตามแม่เฒ่า เธอ กลัวแม่ผัวขโมยของในบ้าน จะคุยกับลูกชายไอ้นั่นก็ออกอาการไม่ว่างถามคำตอบคำ เหมือนหนามตำโดน โคนลิ้นจนอ้าปากลำบากลำบน อึดอัดแม่เกรงใจเมีย แกล้งถอดสร้อยคอทองคำเส้นโตที่ห้อยแขวนพระ เครื่องราคาแพงในกรอบทองฝังเพชรพวงใหญ่ขึ้นมาส่องทีละองค์ด้วยความเลื่อมใส และไม่แม้แต่จะชายตา มองแม่เฒ่าที่นั่งซึมอยู่ข้างตู้ทองอย่างเดียวดาย เก้ๆ กังๆ อยู่พักใหญ่ก็เดินออกจากบ้านลูกชายคนโต อย่างเหงาๆ โดยมีคนใช้ของลูกหิ้วถุงผลไม้ตามมายัดคืนใส่มือ ระหว่างทางก็แวะ ทักทายคนรู้จักเพื่อ รักษามารยาท แต่ในใจของแม่เฒ่ามันวังเวงจนจำไม่ได้ว่าพูดคุยกับใครไปบ้าง ระหว่างทาง ลูก สาวคนเล็กที่แม่เฒ่าทั้งรักทั้งหวงนั่นแทบไม่ต้องพูดถึงเธอยื่นคำขาดกับแม่เฒ่า ตั้งแต่้ครั้งแรกที่ไปเยี่ยมว่าถ้า ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปหาเพราะบ้านเธอมีแขกที่เป็นลูกน้องของผัวและพ่อค้าวานิชเข้าพบผัวของเธอเพื่อขอ อำนวยความสะดวกในทางธุรกิจบ่อยๆ และผัวของหล่อนก็ค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่าง ถ้าแม่เฒ่ารักลูกก็ควร จะต้องรักษาเกียรติรักษาหน้าตาของผัวลูกด้วย แม่เฒ่าไม่เข้าใจว่าการรักษาหน้าตาของลูกเขยนั้นต้อง ทำอย่างไรแม่เฒ่ายังเคยปลื้มกับคำชมของเพื่อนบ้าน

...เขาว่าแม่เฒ่าวาสนาดีลูกเขยเป็นเจ้าคนนายคนแม่เฒ่าก็ได้แต่แอบปลื้มทั้งๆ ที่ ไม่เข้าใจว่าทำไมการเป็น เจ้าคนนายคนจึงเหมือนกำแพงชนชั้นปิดกั้นระหว่างความเป็นแม่ลูกจนหนักหนาสาหัสขนาดนั้น ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมารายรอบร้านค้าของลูกชายคนที่ สองกระทบธุรกิจของสองผัวเมียจนทรวดเซ ของขายไม่ได้มากเหมือนเก่าที่เอาอะไรมาวางก็ขายหมด ปัญหาและวิกฤติการเงินในบ้านส่งสัญญาณถึงขาลง สองผัวเมียเริ่มมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง และแทบทุก ครั้งลูกสะใภ้ก็จะฉวยโอกาสด่ากระทบแม่ผัวเป็นของแถมโดยไม่มีเหตุผล โดยที่ลูกชายก็ไม่ออกอาการปก ป้องแม่เฒ่าแต่อย่างใด

.. 12 มิถุนายน 2530 ประมาณ 3 ทุ่มของคืนโลกาวินาศ
ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยพยับเมฆ สลับกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเป็นระยะๆ ครู่ใหญ่ๆ ต่อมาสายฝนจึงโปรยปรายชุ่มฉ่ำน้ำนองไปทั่วเมือง ลูกชายลูกสะใภ้ออกไปกินข้าวนอกบ้านยังไม่กลับ ปล่อยแม่เฒ่าเฝ้าร้านค้าคนเดียว

...แม่เฒ่าจำได้ว่าวัยรุ่นสองคนขี่รถเครื่องฝ่าสายฝนมาจอดหน้าร้านขอซื้อเบียร์หนึ่งขวด แม่เฒ่ารับเงิน แล้วเดินเข้าไปเก็บในลิ้นชักโดยไม่ระแวงว่า สองวัยรุ่นแอบยกลังใส่บุหรี่ที่ลูกชายสั่งมายังไม่แกะ กล่องช่วยกันแบกขึ้นรถขี่หายไปกับความมืด ก่อนสี่ทุ่มเล็กน้อยสองผัวเมียจึงขับรถกลับเข้าถึงบ้านช่วย กันเก็บของเข้าร้าน วางของทุกชิ้นเข้าที่ๆ เคยวาง เมื่อไม่เห็นลังบุหรี่จึงหันไปตะโกนถามแม่เฒ่าที่ กำลังจุดธูปไหว้รูปสามีบนหิ้ง เพียงคำตอบที่แม่เฒ่าตอบว่า "ไม่เห็น" ก่อนปักธูปลงกระถาง เสียงสบถด้วยคำหยาบของลูกชายก็ดังสวนสนั่นบ้าน ครู่เดียวทั้งลูกสะใภ้กับลูกชาย ก็สลับปากจิกหัวด่าแม่กึกก้องประสานเสียงกับสายลมนอกบ้าน ก่อนที่ทั้ง คู่จะขับรถไปโรงพักแจ้งจับแม่ลักทรัพย์ ตำรวจพาแม่เฒ่าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะร้อยเวร แม่เฒ่าให้การไม่รู้ ด้วยซื่อบริสุทธิ์โดยไม่ตัดพ้อต่อว่าลูกชายแม้แต่คำเดียว กว่าชั่วโมงในห้องแอร์เย็นเฉียบ แต่ในอกในใจของร้อยเวรหนุ่มร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟนรกแผดเผา ที่ต้องวิงวอนสองผัวเมียให้เห็นบาปบุญคุณโทษ แต่สองผัวเมียกลับโยนภาระตอกย้ำ "ให้ตำรวจอบรมแม่ เฒ่า" ก่อนที่จะสะบัดก้นกลับไปบ้านโดยไม่ใส่ใจแม่เฒ่าที่เปียกฝนนั่งสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ สายฝนยงสาดซัดกระหน่ำหนักเหมือนฟ้าแตก ตำรวจยศนายดาบขับรถร้อยเวรมาส่งแม่เฒ่า ที่บ้านบ้านซึ่ง ประตูเหล็กถูกปิดสนิท

...แม่เฒ่าลงจากรถเดินฝ่าฝนถึงหน้าบ้านแล้วแม่เฒ่าก็ตกใจสุดขีดกับภาพเบื้องหน้าที่พื้นหน้าบ้าน เสื้อผ้าเก่า ๆ ยัดแน่นอยู่ในถุงถูกโยนออกมากองเรี่ยราดเหมือนขยะ บนกองเสื้อผ้าของแม่เฒ่า กระถางธูปและรูปถ่ายของสามีแตกกระจายเกลื่อนกราด หยาดฝนสาดซัดรูปถ่ายขาวดำ ของสามีจนเปียกปอนขาดวิ่น แม่เฒ่าก้มลงหยิบรูปของสามีมากอดแนบอก น้ำตาแห่งความ รันทดทะลักล้นปนน้ำฝน ปวดร้าวเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ แม่เฒ่ากอดรูปนั้นไว้เหมือนจะปกป้อง จากสายฝนสุดชีวิต สองเท้าออกก้าวช้าๆ เหมือนร่างไร้วิญญาณ เข้าตลาดไปหยุดนิ่งอยู่หน้าร้านขายทอง ของลูกชายคนโตเหมือนเป็นการบอกลา แล้วลัดเลาะฝ่าความมืดและสายฝนไปยืนอยู่หน้าบ้านลูกสาวคน เล็กเก็บภาพแห่งความรักความทรงจำสุดท้ายเป็นครู่ใหญ่ จึงเดินจากไปท่ามกลางเสียงกึกก้องของฟ้า ร้องระงม สลับกับ เสียงฟ้าผ่าแน่นหนักเป็นระยะ ดั่งเจ้ากรรมนายเวรกำลังเร่งรีบกรีดนิ้วกัปนาท บรรเลงเพลงกรรมในอดีตชาติติดตามมาทวงคืนให้แม่เฒ่าต้องชดใช้อย่างบอบช้ำยับเยิน รถกระบะเก่าๆ คันนั้นวิ่งฝ่าสายฝนมาจอดสงบนิ่งอยู่หน้ากุฏิพระ ของสมภารเจ้าวัด ตอนตีสามเศษๆ คนขับรถพบแม่เฒ่าเดินโซซัดโซเซอยู่ข้างถนนเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ด้วยใจเมตตา เมื่อแม่เฒ่าต้องการมาที่นี่ จึงขับรถมาส่งด้วยความสังเวช แม่เฒ่ามักคุ้นกับ สมภารวัดนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์เก่ายังอยู่ นาทีสุดท้ายของการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิตจึงไม่มีที่ไหนอบอุ่นให้พึ่งพิงเหมือน ร่มเงาฉัตรแก้วกงธรรมแห่งรัตนะทั้งสาม

...ฟ้าเริ่มขมุกขมัวใกล้ค่ำลงทุกขณะ ผมจำเป็นต้องบอกลาท่านสมภารและ แม่เฒ่าเจ้าของเรื่องราวน่าสลด นับแต่นาทีแรกที่แม่เฒ่ามาถึงที่นี่จนวันนี้ แม่เฒ่าไม่เคยออกไปนอกวัด เหมือนๆ กับที่ทั้งสามคนก็ไม่เคย
ออกติดตามถามหาจะรู้หรือไม่ก็แล้วแต่ ว่าแม่ซมซานมาอยู่วัดแต่ ก็ไม่เคยปรากฏแม้แต่ เงาของลูกทั้ง 3 ผมจากลาออกมาทั้งที่น้ำตาเปื้อนหน้า ประโยคสุดท้ายของแม่เฒ่าที่ฝากมา..

“แม่จำลูกได้ทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนโต จะทุกข์จะสุขก็คือลูกของแม่ แม่ให้โดยไม่เคยวาดหวังจะได้จากลูกทุกคนเป็นการตอบแทน
ลูกเอ๋ย...เมื่อลูกยังเป็นทารกทุกครั้งที่แนบอกดูดดื่มน้ำนมจากเต้า สองมือน้อยๆ ของเจ้าไขว่คว้าอยู่ไหวๆ

วันนี้แม่สิ้นแรงแทบสิ้นใจจะมีมือของลูกคนไหน เอื้อมมาปิดตาให้

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560

7ประโยชน์ดีๆจากเปลือกกล้วย



1. ใช้ในการกำจัดหูด ใช้เปลือกกล้วยที่มีขนาดใหญ่วางลงบนแผลหูด หลังจากนั้นใช้ผ้าพันแผลบริเวณนั้นเอาไว้ ทำซ้ำหลายๆคืน หูดก็จะค่อยๆหาย

2. กำจัดริ้วรอยและสิว ขั้นตอนนี้สามารถทำได้ง่ายๆ โดยใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที แถมยังมีประสิทธิภาพสูง เพียงแค่ถูผิวของคุณด้วยเปลือกกล้วย ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด

3.ใช้ทำความสะอาด คุณสามารถใช้เปลือกกล้วย  ในการทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์และรองเท้าของคุณได้ด้วย ซึ่งเปลือกกล้วยจะช่วยให้เครื่องใช้เห ล่านี้ของคุณเหมือนของใหม่ปิ๊งๆเลยล่ะ

4.ใช้ฟอกฟันให้ขาว ใช้ส่วนด้านในของเปลือกกล้วยฟอกไปที่ฟันของคุณ ทำทุกวันติดต่อกันหลายสัปดาห์ คุณก็จะสังเกตเห็นผลลัพธ์ได้ในทันที

5.ใช้รักษาแมลงกัดต่อย เปลือกกล้วย นำมาทาตรงบริเวณแผลที่โดนแมลงกัดต่อย ก็จะช่วยรักษาได้

6.ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับโรคสะเก็ดเงิน ให้นำเปลือกกล้วยมาถูให้ทั่วแล้วทิ้งไว้ 10 นาที ทำเช่นนี้อาการก็จะค่อยๆดีขึ้น

7.ใช้แทนยาแก้ปวด ใช้เปลือกกล้วยถูบริเวณที่มีอาการปวด เช่น ปวดหลัง , ปวดขา ฯลฯ รอ 10-15 นาที อาการจะทุเลาลง

ขอขอบคุณที่มาพระอธิการนพดลกันตสีโล วัดหนองรั้ว

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

จดหมายถึงเมีย



ถึงเมียสุดที่รัก!

ช่วงนี้พี่สังหรณ์ใจว่าจะมีอันตรายมาเยือน พี่ อาจจะถูกอุ้มหรือทำร้าย สาเหตุเนื่องมาจากเรื่องงาน พี่เป็นคนตรงไปตรงมา ทำให้ไปขัดผลประโยชน์ของเจ้านายและผู้มีอิทธิพล เพราะฉะนั้นพี่ต้องคอยระวังตัวตลอดเวลา พี่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันเพื่อหลีกเลี่ยงภัยดังกล่าว ดังต่อไปนี้
๑.) ต้องกลับบ้านไม่เป็นเวลา อาจจะมืดๆค่ำๆหรือดึกๆ เพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้ามที่จะมาดักทำร้ายเพราะกลับตรงเวลาทุกวัน
๒.) ต้องปิดโทรศัพท์หรือไม่รับโทรศัพท์บ่อยขึ้น เพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้ามรู้ความเคลื่อนไหว
๓.) ต้องมีการปลอมตัวบ้าง อาจจะมีกลิ่นน้ำหอมแปลกๆก็อย่าแปลกใจ หรืออาจเดินควงผู้หญิงเพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้เป็นที่สงสัย ก็อยากให้เข้าใจว่าเป็นการแสดงนะครับ
๔.) ถ้ามีผู้หญิงส่งไลน์หรือเฟสมาหาบ้าง นั้นเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยจากลูกน้องนะครับ อย่าเข้าใจเป็นอื่น
๕.) ถ้ามีผู้หญิงสวยๆแอดเข้ามาเป็นเพื่อนในไลน์ในเฟส แสดงว่าฝ่ายตรงข้ามส่งมาล้วงความลับครับ อย่าได้เข้าใจผิด
๖.) อาจจะไม่กลับบ้านบ้างทีละหลายวัน ก็ให้ทราบว่ากำลังลี้ภัย ไม่ต้องตามนะ จะกลับมาเอง
๗.) บางครั้งอาจจะมีการปล่อยข่าวว่าไปนั่งดื่มเหล้ากับเพื่อนหรือมีผู้หญิงมานั่งตักบ้าง! มันเป็นบทบาทสมมุติ
หวังว่าสุดที่รักจะเข้าใจนะครับ..!

-------------------------
จดหมายตอบสามี

ถึงสามีสุดที่รัก....!!!

หลังจากได้รับจดหมายของพี่
น้องรู้สึกเป็นห่วงพีมาก พี่ไม่ต้องเป็น
กังวลมากนะ ชีวิตนี้น้องขอมอบให้พี่
น้องสามารถตายแทนพี่ได้ ตอนนี้น้อง
พาลูกกลับบ้านให้ไปอยู่กับยายสักพักก่อน รอจัดการเรื่องพี่ให้เรียบร้อย
ก่อนค่อยพากลับมา ส่วนงานที่ทำอยู่
น้องได้ยื่นใบลาออกกับผู้จัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ น้องได้นำเงินของพี่
ไปซื้อปืนได้มากระบอกหนึ่งแล้วค่ะ
ต่อไปนี่ น้องจะคอยอยู่ข้างกายพี่ตลอดเวลาค่ะ น้องจะติดตามรับส่งและเฝ้าอยู่ที่ทำงานพี่ตลอดค่ะ
สบายใจแล้วใช่ไหมค่ะ พี่ก็รู้อยู่ว่า
น้องโหดขนาดไหน คุกน้องไม่กลัวค่ะ
ส่วนพวกสาวๆทั้งหลายก็ไม่ต้องห่วงค่ะเดี๋ยวน้องจัดการเรียบร้อยหมดค่ะ
โดยปกติน้องไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวพี่
แม้โทรศัพท์ยังไม่เคยเปิดดูของพี่
แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้วค่ะ น้องจะต้องตรวจให้ละเอียดยิบเลยค่ะ ไม่ได้ค่ะ
มันอันตราย ตอนนี้น้องทุ่มสุดตัว
เพื่อพี่คนเดียวค่ะ  ตอนนี้น้องมาถึงที่ทำงานพี่แล้วค่ะ เดี๋ยวเลิกงานแล้ว
ลงมาหาน้องได้เลยค่ะ กลับบ้านพร้อมกัน
เดี๋ยวเจอกันค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ยาสีฟันมีประโยชน์มากกว่าแค่การแปรงฟัน


ยาสีฟันเป็นสิ่งที่เราทุกคนมีใช้กันประจำบ้าน ในการแปรงฟันตั้งแต่หลังตื่นนอนและก่อนเข้านอน เราทุกคนคุ้นเคยกับการใช้ยาสีฟันกันเป็นอย่างดี แต่จะมีสักที่คนที่จะรู้ว่ายาสีฟัน ทำได้มากกว่าการใช้แปรงฟัน เพราะเป็นของใกล้ตัว จึงได้มีคนคิดพลิกแพลงนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านอื่นได้ด้วย

1.ทำความสะอาดเล็บ เมื่อใช้สีฟันได้ ยาสีฟันก็สามารถทำความสะอาดเล็บได้เช่นกัน เพื่อให้เล็บสะอาดเป็นเงางามและยังทำให้เปลือกเล็บแข็งแรงขึ้นด้วย เพียงแค่บีบยาสีฟันพอประมาณลงบนแปรงสีฟันชื้นๆ จุ่มนิ้วในน้ำอุ่นสักพัก จากนั้น ใช้แปรงขัดทำความสะอาดเล็บให้ทั่ว และถูที่ซอกเล็บด้วยเพื่อขจัดเศษหนังข้างเล็บให้หลุดออก

2.แต้มหัวสิวจอมก่อกวนได้ด้วยยาสีฟัน เนื่องจากส่วนผสมในยาสีฟันจะช่วยขจัดความมันส่วนเกินออกจากผิว ทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น และยังใช้แต้มรอยสิวให้จางลงได้อีกด้วย โดยแต้มยาสีฟันขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว ลงบนหัวสิว หรือรอยแผลเป็นจากสิว ตัดพลาสเตอร์เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วแปะทับลงไปเพื่อไม่ให้ยาสีฟันที่แต้มไว้เลอะบนที่นอน

3.หากแวกซ์หรือเจลแต่งผมหมดลง ยาสีฟันช่วยคุณได้ เพราะในยาสีฟันมีสารโพลีเมอร์ละลายน้ำได้ดี ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่เหมือนกับเจลแต่งผมส่วนมาก โดยบีบยาสีฟันเล็กน้อยลงบนนิ้ว แล้วเกลี่ยให้เนื้อยาสีฟันกระจายออกหรืออาจแตะน้ำเล็กน้อยด้วยก็ได้ แตะยาสีฟันลงบนจุดที่ต้องการแล้วปาดให้เรียบ

ในบางครั้งบางสิ่งบางอย่างก็สามารถใช้ทดแทนกันได้ และได้ผลดีเท่าที่ควร เพียงแค่เรารู้จักที่จะใช้ให้เป็น สิ่งของใกล้ตัวให้อะไรกับเราได้เยอะเลยทีเดียวค่ะ

ขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Lisa ภาพจาก : daum