วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ข้อดีของมะม่วง


มะม่วง ผลไม้รสชาติดี หาทานง่าย ทานได้ทั้งแบบดิบและแบบสุก แต่บางคนไม่ค่อยชอบทานเพราะคิดว่ามะม่วงแป้งเยอะทานแล้วจะอ้วน แต่รู้มั้ยคะว่ามะม่วงบ้านๆนี่หล่ะ มีโยชน์มากมายแบบไม่น่าเชื่อ....

1. ลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี
การรับประทานมะม่วงประจำสามารถรักษาระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย จากการตรวจสอบพบว่า วิตามินซีสูง เพคตินและเส้นใยมากมายที่อยู่ในมะม่วงจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ได้เป็นอย่างดีอย่างยิ่ง ‘ไม่ดี’ ในขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มจำนวนคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) อีกด้วย และมะม่วงเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียมซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือดในระบบประสาทที่ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

2. ฟื้นฟูผิว
มะม่วงเป็นผลไม้มหัศจรรย์สามารถใช้ฟื้นฟูผิวได้ โดยใช้ในการมาสก์และขัดหน้า ในมะม่วงอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามิน C วึ่งช่วยให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีและเปล่งประกาย วิตามินและเบต้าแคโรทีนในมะม่วงสามารถเพิ่มความอ่อนเยาว์ ฟื้นฟูผิว ลดจุดด่างดำ ฝ้าและสิว โดยนำมะม่วงสุกมาปอกเปลือก แล้วถูทั่วใบหน้าของคุณเป็นเวลา 10 ถึง 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

3. ป้องกันการเกิดโรคลมแดด (Heat stroke)
ลดความเสี่ยงผลกระทบของจังหวะการเต้นของหัวใจจากความร้อน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะรักษาระดับของเหลวในร่างกายของคุณ โพแทสเซียมในมะม่วงช่วยรักษาระดับโซเดียมซึ่งจะควบคุมระดับของเหลวในร่างกายและควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจท ในฤดูร้อนคุณสามารถกินมะม่วงสุกหรือมะม่วงดิบทุกวันเพื่อช่วยให้เย็นลงและเพิ่มน้ำแก่ร่างกาย

4. บำรุงสายตา
มะม่วงเป็นแหล่งของวิตามิน A จำนวนมาก ซึ่งสารอาหารสำคัญสำหรับสุขภาพตา วิตามิน A จะช่วยบำรุงสายตาและป้องกันความผิดปกติต่างๆเกี่ยวกับตา เช่นตาบอดตอนกลางคืน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม ตาแห้งและความรู้สึกไม่สบายตา ในมะม่วงสุก 1 ถ้วย มีวิตามิน A อยู่ถึงร้อยละ 25 ของความต้องการต่อวัน

5. รักษาระดับอัลคาไลน์
กรดซิตริกที่พบในมะม่วงช่วยรักษาระดับอัลคาไลน์ในร่างกาย จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น ภาวะเลือดเป็นกรดเรื้อรัง โรคไต กล้ามเนื้ออ่อนแอและกระดูกอ่อนแอ การรับประทานมะม่วงเป็นประจำจะช่วยรักษาค่า pH ให้ปกติ โดยอยู่ระหว่าง 7.35 และ 7.45 ซึ่งจะช่วยให้การถ่ายโอนออกซิเจนไปทั่วร่างกายมากขึ้น ป้องกันไม่ให้โรคทางเดินอาหารต่างๆ และโรคกระดูกพรุน
6. ช่วยย่อยอาหาร
เส้นใยที่มีอยู่มากในมะม่วงจะช่วยในการย่อยอาหารและการกำจัดของเสีย ทั้งยังสามารถช่วยป้องกันความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเช่น โรคโครห์น (Crohn’s disease) นอกจากนี้มะม่วงยังช่วยบรรเทาอาการท้องผูกและแผลในกระเพาะอาหาร

7. ป้องกันโรคมะเร็ง
งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า สารต้านมะเร็งและสารต้านอนุมูลอิสระในมะม่วงสามารถป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งผิวหนัง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในมะม่วงที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งคือ quercetin isoquercitrin astragalin fisetin gallic acid และ methyl gallat สถาบันโรคมะเร็งในบอสตันแนะนำให้ดื่มมะม่วงปั่นสมูทตี้ 1-2 แก้วทุกวันสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง

8. ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
วิตามิน C ในมะม่วงมีหน้าที่สำคัญในการรักษาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ป้องกันการเข้าสู่ร่างกายของเชื้อโรค และช่วยเพิ่มการผลิตเม็ดเลือดขาว นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสุขภาพผิวให้ผิวมีสุขภาพดี

9. เพิ่มความจำ
ในการศึกษาของ journal Oxidative Medicine พบว่าสารหลายชนิดที่พบในมะม่วงช่วยเพิ่มการจดจำและลดความเครียด กรดกลูตาในมะม่วงจะช่วยเพิ่มหน่วยความจำ ส่วนวิตามิน B6 ยังมีหน้าที่สำคัญในการดูแลและปรับปรุงการทำงานของสมอง

10. เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
มะม่วงถือว่าเป็นยาบำรุงชั้นดี ในต่างประเทสมักเรียกกันว่า love fruit หรือ ผลไม้แห่งความรัก ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน E ที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนเพศ

ประโยชน์เยอะขนาดนี้ แถมยังหาทานง่าย ปลูกง่าย คนรักสุขภาพห้ามพลาดนะคะ ถือว่าเป็นยาบำรุงสุขภาพชั้นดี ที่ไม่ต้องซื้อหาราคาแพงๆ แต่ก็อย่ารับประทานมากเกินไปนะคะ เพราะอะไรมากเกินไปย่อมไม่เกินผลดีอยู่แล้ว เอาเป็นว่าทานแบบพอดีๆ เพื่อสุขภาพที่ดี ดีกว่านะคะ

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เพราะเหตุใด


ทำงานที่บริษัทฯ ใกล้จะครบสามปีแล้ว เพื่อนร่วมงานที่เข้ามาทีหลังผมต่างทยอยได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น ผมกลับจมอยู่ที่เดิมความรู้สึกภายในจิตใจยากที่จะรับได้จนกระทั่งวันหนึ่ง เสี่ยงกับการถูกเลิกจ้าง ผมขอพบเจ้านายเพื่อคุยถึงสาเหตุ

"เจ้านาย ผมเคยมาสาย กลับก่อนเวลา หรือ ละเมิดกฎระเบียบหรือไม่"
เจ้านายตอบทันทีว่า "ไม่เคยและไม่มี"
"ถ้าเช่นนั้น เป็นเพราะบริษัทฯมีความลำเอียง อยุติธรรมกับผมหรือ"
เจ้านายอึ้งก่อน แล้วพูดว่า "ไม่มี ไม่ใช่แน่นอน"
"แล้วทำไม ผู้ที่อายุงานน้อยกว่าผม กลับได้รับความสำคัญ ความไว้วางใจในหน้าที่ปฎิบัติงาน แต่ผมกลับอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่ไม่สำคัญมาตลอด"
เจ้านายนิ่งเงียบ ไม่สามารถหาคำพูดมาตอบผมทันที จากนั้นยิ้มๆ แล้วพูดว่า
"ปัญหาของคุณเดี๋ยวเราค่อยคุยกันใหม่
เวลานี้ ผมมีเรื่องเร่งด่วนสำคัญอยู่เรื่องหนึ่ง ช่วยผมจัดการไปก่อน มีลูกค้าเจ้าหนึ่ง เตรียมตัวมาที่บริษัทฯ เพื่อตรวจสอบสินค้า"
เจ้านายให้ผมติดต่อพวกเขา สอบถามว่า จะมาถึงเมื่อไหร่ ผมคิดในใจว่า
"นี่หรือ งานเร่งด่วนเร่งรีบที่สำคัญ"
ก่อนก้าวออกจากประตู ผมอดไม่ได้จะคิดเยาะเย้ย สิบห้านาทีไม่ถึง ผมกลับเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านาย
"ติดต่อได้หรือยัง" เจ้านายถาม
"ติดต่อได้แล้ว พวกเขาบอกว่า อาจจะมาสัปดาห์หน้า"
"สัปดาห์หน้า วันเฉพาะเจาะจงคือวันไหน"
"ผมไม่ได้ถามรายละเอียด"
"พวกเขาจะมากันกี่คน"
"โอ้...ท่านไม่ได้ให้ผมถามเรื่องนี้น่ะ"
"งั้นพวกเขาจะมาทางรถไฟหรือเครื่องบิน"
"นี่ท่านก็ไม่ได้บอกให้ผมถามสักหน่อย"
เจ้านายไม่พูดอะไรอีก ท่านโทรศัพท์เรียกจูเจิ้นเข้ามา
จูเจิ้นเข้ามาบริษัทฯหลังผมหนึ่งปี ตอนนี้เป็นผู้ควบคุมรับผิดชอบแผนกหนึ่งไปแล้ว เขาได้รับหน้าที่เหมือนกันกับผมที่ได้รับเมื่อสักครู่ เวลาผ่านไปครู่เดียว จูเจิ้นก็เดินกลับมา
"อ้อ...เป็นอย่างนี้" จูเจิ้นเริ่มรายงาน
"พวกเขาจะมาโดยเครื่องบิน เที่ยวบ่ายสามโมง วันศุกร์ จะมาถึงประมาณหกโมงเย็น เดินทางมาทั้งหมดห้าคน นำคณะโดยฝ่ายจัดซื้อผู้จัดการหวัง"
"ผมบอกพวกเขาแล้วว่า ทางบริษัทฯเรา จะส่งคนไปรับ นอกเหนือจากนี้ พวกเขาวางแผนตรวจสอบสองวัน รายละเอียดเจาะจงเมื่อพวกเขามาถึงแล้ว ค่อยปรึกษาหารือร่วมกันทั้งสองฝ่าย"
"เพื่อความสะดวกในการปฎิบัติงาน ผมขอเสนอจัดหาที่พักระดับอินเตอร์ที่อยู่ใกล้กับบริษัทฯให้แก่พวกเขา หากท่านเห็นด้วย พรุ่งนี้ผมก็จะจองห้องพักไว้ล่วงหน้า"
"นอกเหนือจากนี้ ยังมีอีกเรื่อง กรมอุตุฯ รายงานว่า สัปดาห์หน้าฝนจะตก ผมจะคอยติดต่อสื่อสารพวกเขาตลอด หากมีสถานการณ์เปลี่ยนแปลง ผมจะรายงานท่านทันที"
หลังจากจูเจิ้นออกไปจากห้องแล้ว เจ้านายแตะไหล่ผม แล้วพูดว่า
"ตอนนี้ เรามาคุยถึงปัญหาของของคุณต่อ"
"ไม่ต้องแล้ว ผมรู้สาเหตุแล้วว่าเพราะเหตุใด รบกวนท่านมากแล้ว"
ผมเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า ไม่มีใครเกิดมาก็สามารถแบกรับภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ ล้วนเริ่มจากความเรียบง่าย เริ่มทำจากเรื่องเล็กๆที่เรียบง่าย วันนี้ เธอติดแผ่นฉลากให้เธอเองเช่นไร อาจกำหนดตัดสินว่า พรุ่งนี้เธอจะเป็นผู้ที่สมควรได้รับมอบหมาย ภารกิจที่ใหญ่ขึ้นหรือไม่
ระยะห่างของความสามารถ มีผลกระทบโดยตรงกับผลของชิ้นงาน ไม่ว่าองค์กรใดบริษัทฯใด ก็ต้องการบุคคลที่ทำงาน ที่มีความสามารถ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่อยู่ในตัวตัวเอง
พนักงานที่มีความโดดเด่น ยอดเยี่ยม ล้วนไม่ต้องให้ผู้อื่นมาบอกมากล่าวว่า
จะต้องทำอะไรถึงจะขยับตัวทำ แต่จะทำความเข้าใจด้วยตนเองว่า สมควรทำอะไร หลังจากนั้นทุ่มเทแรงกาย แรงใจ กระทำจนสำเร็จ
ท่องไว้ในใจนะ......นายสั่งให้ทำหนึ่ง...สอง...สาม....
สิ่งที่เราทำคือ..หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก ...เจ็ด แปด เก้า เก็บไว้ในกระเป๋า ....สิบ สิบเอ็ด สิบสอง อยู่ในสมอง ....ทันที พร้อมเอาออกมาใช้ในทุกสถานการณ์

ขอขอบคุณ มุมมองความคิดดีดี : " Pink Planet TH "

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แว่นตาแห่งชีวิต


อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง สุดแสนจะภูมิใจ ที่ลูกชายวันห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ โดยส่วนตัวของเขาเอง ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน

ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียว ไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้ววันหนึ่ง เขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่องความยากจน เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน

เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน กลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไรบ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน

ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า….

.....ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่
ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าท้องทำงานของชาวนา

.....อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆ บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร

.....เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

.....ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่นเพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน
แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

.....ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืน โดยไม่ขาดแคลน
แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน

.....ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่

.....ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

ผู้เป็นพ่อฟังแล้วเงียบงัน ลูกชายสบตาพ่อเต็มตา
แล้วจบว่า

“ขอบคุณมากครับพ่อ ที่ช่วยให้ผมได้สำนึกว่า เราจนขนาดไหน”

คุณเห็นด้วยไหมว่า “แว่นตาชีวิต” นี่ช่างเป็นสิ่ง
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก คิดดูสิว่าโลกจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด

ถ้าเราทุกคนเปลี่ยนมา
เป็นปลื้มและพอใจในทุกสิ่งที่เรามี แทนที่จะดิ้นรน
ไขว่คว้าเพื่อสิ่งที่เรายังไม่ได้มา

ขอจงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อน
ชีวิตหนึ่งของเรานั้น สั้นนัก และเรามีเพื่อนได้น้อยมาก

จงแบ่งปันความรู้สึกที่ดีๆให้เพื่อนของเรา เหมือนที่เราอยากได้"

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เอาใจวางไว้ที่บ้าน


หนุ่มหนึ่งกลับบ้านหลังดื่มจนตัวเบา พอเข้าบ้าน เปิดไฟ ร้องเรียกเมีย ไร้เสียงขาน ก้มหน้าพบหนังสือขอหย่าบนตู้รองเท้า หนุ่มงง ไม่นึกว่าเจ้าหล่อนจะเอาจริง ผัวเมียทะเลาะกันบ่อย อย่างมากหล่อนเพียงงอนไม่พูดด้วย หรือกลับบ้านแม่ไปสักพักจากนั้นก็คืนมาเป็นปกติ ทว่าครั้งนี้ เรื่องไม่เล็กเสียแล้ว เมียบอกให้เขาไปงานประชุมผู้ปกครองของลูกสาวเขาบอกว่างานยุ่ง ไม่มีเวลาเมียว่ายุ่งอะไรทั้งวัน ไม่เคยใส่ใจฉันกับลูกเลย

เราเลิกกันแล้วกัน

หนุ่มไม่คิดว่าจะมีปัญหาเขาถือว่าต้องเห็นงานสำคัญกว่าครอบครัวและที่ยุ่งวุ่นนั้นก็เพื่อบ้านนี้ไม่ใช่หรือ

ตนไม่ได้ทำอะไรผิด

แต่ในนาทีนี้ บ้านว่างเปล่าเงียบเชียบไร้ลูกไร้เมียนี้มันช่างไม่เป็นบ้านเอาเสียเลยความสำเร็จของเขา ถ้าไม่มีเมียร่วมปันก็ไร้ความหมายวันรุ่งขึ้นเขาไปเยี่ยมพ่อแม่ ทั้งสองงงมาก ถามว่าทำไมมีเวลากลับบ้าน
คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ? ทะเลาะกับแม่อีหนูหรือ? คำถามเป็นชุดทำให้เขาละอาย เขาคงกลับบ้านน้อยเกินไปกระมัง?

แต่พ่อแม่ตื่นเต้นยินดีกันมาก พ่อรีบออกไปจ่ายตลาด แม่อยู่บ้านนั่งคุยกับเขา หาขนมถั่วต้มให้กิน แต่ไม่ทันนั่ง เสียงโทรศัพท์ดัง เขาได้ยินเสียงพ่อดังลอดมาจากโทรศัพท์ว่า "ลืมบอกไป ชาเก๊กฮวยน้ำผึ้งที่ชงไว้ให้น่ะ อยู่บนธรณีหน้าต่าง เธอรีบดื่มซะ เดี๋ยวจะเย็น" แม่วางหู ดื่มชาไปอึกเดียว โทรศัพท์ดังอีก พ่อนั่นแหละ "เราต้องจ่ายค่าน้ำแล้วใช่ไหม? ฉันลืมเอาบิลม ช่วยบอกเลขบิลให้หน่อย จะแวะไปจ่าย" วางหูไม่ทันไร พ่อโทรฯ มาอีก เสียงดีใจทีเดียว"เธอชอบกินปลาสีนวลใช่ไหม เดี๋ยวซื้อไปให้นึ่งกิน"

ยี่สิบนาที พ่อโทรฯ 3 ครั้ง แม่ก็รับและคุยอย่างไม่รู้หน่าย

เขาอดบ่นไม่ได้ว่า ทำไมพ่อจุกจิกขึ้นทุกที? ไม่เห็นมีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องโทรฯ กลับมาบอกไม่ได้หรือ? แม่ยิ้มแล้วพูดว่า "เด็กโง่เอ๊ย เจ้าจะไปรู้ใจพ่อได้ไง? แกไม่ได้จุกจิก แต่แกวางหัวใจไว้ที่บ้าน มีที่ฝากฝังมีความห่วงหา จึงได้โทรฯ ครั้งแล้วครั้งเล่าตัวพ่ออยู่นอกบ้าน แต่ใจอยู่ในบ้าน

เรื่องในบ้านไม่มีใหญ่เล็ก ทุกอย่างล้วนห่วงใย เจ้าอย่าคิดว่าเอาเงินเข้าบ้านก็พอ

บ้านไม่ใช่ที่ที่วางเงิน แต่เป็นที่ที่วางใจ มีแต่เอาใจวางไว้ที่บ้าน ความรักกับความสุขจึงจะอยู่ที่บ้าน เจ้าเข้าใจไหม?"

เขาเห็นสายตาลึกล้ำของแม่ เข้าใจในบัดดล คิดถึงตนเอง ไม่เคยโทรศัพท์กลับบ้าน แม้แต่เมียโทรฯ หาก็รีบตัดสาย คิดถึงที่ตัวเองไปงานไปกินกับหัวหน้ากับเพื่อนร่วมงานจนดึกดื่น ไฟที่บ้านก็สว่างคอยเขาจนดึกดื่น แต่เขาไม่เคยคิดถึงความเดียวดายของเธอ ลูกอายุหกขวบ ขอให้เขาพาเที่ยว แต่คำมั่นสัญญาของเขาไม่เคยเป็นจริง

เพราะงานยุ่ง หรือเพราะว่าไม่เคยเอาใจวางไว้ที่บ้านเล่า?

คืนนั้น เขาไปรับเมียกลับ เธอรีรอไม่ยอมกลับ เขารีบอธิบายว่า จะไม่เป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ก่อนนี้ฉันละเลยเธอ ละเลยบ้านของเรา ฉันคิดว่าเพียงแค่ส่งเงินให้ไม่ขาดก็จะรับประกันความสุขของเรา แต่ฉันเกือบทำความรักหล่นหาย ต่อไปนี้ ฉันจะเอาใจวางไว้ที่บ้าน เอาบ้านวางไว้ในใจ เธอกลับบ้านกับฉันเถอะนะ?
เมียไม่ตอบ ค่อยๆ เดินเข้าหาเขา น้ำตาร่วง

ถูกต้องแล้ว บ้านคือที่วางใจ คือที่รองรัก

งานยุ่ง ไม่อาจเป็นเหตุผล ใจอยู่ รักอยู่ มีห่วงมีใย ความสุขจึงเกิดได้ ไม่เสื่อมสลาย

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คาถาให้คนรักให้คนหลง


1. รู้จักทักทาย การทักทายใครต่อใครก่อน เป็นความน่ารักอย่างหนึ่ง สะท้อนให้เห็นความมีมิตรจิตมิตรใจ ทำให้ผู้ถูกทักทายรู้สึกดีว่าได้รับความใส่ใจ มีคนให้ความสำคัญ เราจะจำชื่อคนให้ได้ไปทำไมกัน ถ้าจำได้แล้วไม่รู้จักทักทายกัน?

2. วางตัวสบายๆ ได้หรือเปล่า จงเป็นคนที่วางตัวสบายๆ เสมอ เพื่อผู้อื่นจะได้ไม่รู้สึกเครียดเมื่ออยู่ใกล้ๆ คุณโปรดเป็นกันเอง อย่าถือเนื้อถือตัว อย่าเจ้ายศเจ้าอย่าง เพราะมันจะน่ารำคาญ น่าเกลียดน่ากลัว มากกว่าน่าเข้าใกล้

3. จำชื่อเขาให้ได้ ถ้ายังจำชื่อใครต่อใครไม่ได้ หรือจำผิดจำถูก แสดงว่าคุณไม่ใคร่สนใจไยดีหรือให้ความสำคัญในตัวเขานัก คุณรู้ไหมว่า ชื่อคนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความรู้สึกของคนอย่างมากมาย รีบจำชื่อเขาให้ได้ และเรียกให้ถูก

4. มีนิสัยง่ายๆ นิสัยง่ายๆ เป็นคนละเรื่องกับมักง่าย หากคุณเป็นคนง่ายๆ มีความยืดหยุ่นสูง และรู้จักผ่อนปรนอารมณ์ของคุณก็มักจะคงที่ ไว้ใจได้ ทำนายได้ ไม่แปรปรวนจนยากแก่การควบคุมหรือไว้ใจ คนง่ายๆ มักยอมรับและเข้าใจได้ แม้กับคนที่น่ารำคาญที่สุด ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้กับคนที่อารมณ์คงที่ ยืดหยุ่น และถือสาใครต่อใครน้อยมาก เพราะอะไร เพราะว่าบางครั้ง เราก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเราเองมีอะไรที่น่ารำคาญบ้าง ง่ายๆ วางใจ ไม่ถือสากันนี่ละ ดีที่สุด

5. อย่าอวดตัวเอง จงระวัง อย่าแสดงว่าคุณรู้อะไรๆ ไปหมดเสียทุกเรื่อง ไม่มีใครอยากจะชอบพอกับคนที่ฉลาดไปเสียทุกเรื่องหรอก บางเรื่องเขาก็อยากฉลาดบ้างเหมือนกัน ดังนั้นโปรดวางตัวตามธรรมชาติ (คือมีทั้งเรื่องที่รู้และไม่รู้) ถ่อมตน และสุภาพตามกาลเทศะจะดีกว่า

6. จงมีนิสัยร่าเริง เพื่อคนทั้งหลายจะได้ชอบอยู่ใกล้ และ “ติด” ในความร่าเริงที่คุณมี แล้วคุณจะได้รับความรู้สึกดีๆ ได้เรียนรู้ในสิ่งดีๆ จากคนเหล่านี้ เมื่อคบค้าสมาคมด้วย

7. จงพยายามแก้ไขความเข้าใจผิด คุณอาจเคยมองใครในแง่ร้ายๆ ไปบ้าง คุณอาจเคยถือสาการกระทำครั้งโน้นครั้งนี้ของเขา หากคุณมีเวลา จงพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดหรือความถือสาที่เคยมี รวมทั้งที่กำลังมีอยู่ให้หมดไป มิตรภาพไม่อาจก่อเกิดหรืองอกงามได้ ท่ามกลางความระแวงแคลงใจ จงขจัดความขุ่นข้องหมองใจ ความไม่ชอบใจ และความเจ็บใจให้หมด แล้วคุณจะเป็นคนน่ารักที่ไม่มีใครผูกใจเจ็บ

8. ทิ้งมันไป…นิสัยเสียๆ บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่า เรามีนิสัยอะไรที่เป็นข้อบกพร่องอยู่ในตัวบ้าง การเงี่ยหูฟังจากคนรอบข้าง จะช่วยให้เรารู้ เมื่อเรารู้แล้ว เรามีหน้าที่ต้องกำจัดนิสัยที่ทำให้คนอื่นตั้งเป็นข้อรังเกียจออกไป แม้ว่านิสัยบางอย่างนั้น อาจมีอยู่หรือทำไปโดยที่เราไม่ได้รู้ตัวมาตลอดก็ตาม

9. จงหัดชอบคนอื่นบ้าง น่าประหลาด… คนบางคนเกลียดใครต่อใครได้ไวมาก ลองหัดชอบคนอื่นจนกลายเป็นนิสัยดีไหม ชอบที่เขาเป็นอย่างนั้น ชอบที่เขาคิดอย่างนี้ ชอบในสิ่งที่เขาพูดจา ฯลฯ พึงท่องคาถาประจำใจเอาไว้ให้ตลอดเภิดว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยพบกับบุคคลที่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกชอบเลย”

10.ชมเชยให้เป็น อย่าละทิ้งโอกาสที่จะกล่าวคำชมเชย เมื่อใครคนใดคนหนึ่งใกล้ๆ ตัวคุณ ได้กระทำในสิ่งที่ดี เป็นแบบอยางต่อผู้อื่น หรือทำอะไรได้สำเร็จสักอย่างหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน ก็ต้องรู้จักแสดงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ ในความทุกข์ร้อนและความผิดหวังของพวกเขาด้วย พูดง่ายๆ ได้ว่า หัดเป็นคนมีหัวใจซะบ้าง!

ใครที่ชอบคิดว่าเราเข้ากับคนอื่นเค้าไม่ได้ ลองถามตัวเองใหม่นะว่า ทำไมเราถึงเป็นแบบนั้น เราชอบนินทารึเปล่า เราเก็บความลับหรือความไว้ใจของเพื่อนได้หรือไม่ หรือว่าเราไม่คุย หรือเราไม่ยิ้ม …. ลองสังเกตตัวเองดู แล้วคุณจะรู้เหตุผลของการมีเพื่อนมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับตัวเรานี้เอง

ที่มา : sakid.com/by สาระแห่งสุขภาพ

วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

10 อาหารต้องห้ามยามเป็นโรค


เรามักได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดถึงข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับการกินและข้อควรปฏิบัติ เช่น คนที่ร้อนในง่ายห้ามกินของร้อน (คุณสมบัติหยาง) ของทอดๆ มันๆ ของเผ็ด เช่น

- กินทุเรียนแล้วห้ามกินเหล้า

- กินทุเรียนแล้วควรกินมังคุดหรือกินน้ำเกลือตาม

- กินลำไยมากระวังตาจะแฉะ

- เวลาเริ่มเป็นหวัด เจ็บคอ ควรกินพวกยาขม

- เวลาร้อนใน ให้กินน้ำจับเลี้ยง หรือกินน้ำเก๊กฮวย

- หญิงปวดประจำเดือนห้ามกินของเย็น (ลักษณะหยิน) เช่น แตงโม น้ำมะพร้าว

- คนที่กินยาบำรุงจีน ห้ามกินผักกาดขาว หัวไชเท้า ฯลฯ เพราะจะล้างยา (ทำไห้ฤทธิ์ของยาน้อยลง) ฯลฯ

คำกล่าวเหล่านี้ก็มีในทัศนะทางการแพทย์แผนจีนมาจากพื้นฐานที่ว่า "อาหารคือยา อาหารและยามีแหล่งที่มาเดียวกัน" การเลือกกินอาหารให้เหมาะสมเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องประยุกต์เปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับภาวะที่เป็นจริงของบุคคล เงื่อนไขของเวลา และสภาพภูมิประเทศ (สิ่งแวดล้อม) จึงจะเกิดผลที่ดีต่อสุขภาพ

ในแง่ของคนไข้ การเลือกกินอาหารให้เหมาะสม จะทำให้โรคร้ายทุเลาลง ช่วยเสริมการรักษาและฟื้นฟูร่างกาย ในทางกลับกันการเลือกอาหารไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ย่อมทำให้โรคร้ายรุนแรง กำเริบและบั่นทอนสุขภาพมากขึ้น

อาหารแสลงหรืออาหารต้องห้าม ในความหมายที่กว้าง หมายถึง

๑. การกินอาหารที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป ก็เกิดโทษ

๒. การกินอาหารชนิดเดียวกัน ซ้ำซาก ก็เกิดโทษ

๓. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับภาวะร่างกายในยามปกติ (ลักษณะธาตุของแต่ละบุคคล)

๔. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับภาวะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือในขณะที่เป็นโรค

๕. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับยาสมุนไพรที่ใช้รักษาในขณะเป็นโรค

การกินอาหารมากไป หรือน้อยไป และการกินอาหารชนิดเดียวกันอย่างซ้ำซากได้กล่าวมาแล้วในครั้งก่อน ที่จะกล่าวต่อไป คือ หลักการหลีกเลี่ยงอาหารในขณะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคต่างๆ หรือภายหลังการฟื้นจากการเจ็บป่วย

อาหารกับโรค

๑. คนที่เป็นไข้หวัด ไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารที่เย็นมาก หรืออาหารทอด อาหารมัน ซึ่งล้วนแต่ทำให้ย่อยยาก ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมือน "อาหารเชื้อเพลิง" หรือการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ

๒. คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล หรือระบบการย่อยไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในร่างกายทำให้โรคหายยาก แนะนำให้กินอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง กินอาหารตามเวลา และเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย

๓. คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัว (ตามภาวะความเสื่อมของร่างกาย) ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ตับ สมอง ถั่ว น้ำมันหมู ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ น้ำมันเนย รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย(ความชื้นมีผลให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนต่อร่างกายทุกระบบ ความร้อนทำให้ภาวะร่างกายถูกกระตุ้น ทำให้ความดันสูง) นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด (ฤทธิ์กระตุ้น) หรืออาหารหวานมาก เช่น ลำไย ขนุน ทุเรียน ฯลฯ (คุณสมบัติร้อน) เราคงได้ยินบ่อยๆว่า มีคนที่เป็นโรคความดันสูง แล้วไปกินทุเรียนร่วมกับเหล้า แล้วหมดสติ เสียชีวิต จากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว

๔. คนที่เป็นโรคตับหรือโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอดๆ มันๆ อาหารหวานจัด เพราะแผนแพทย์จีนถือว่าตับ ถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของการรับสารอาหารเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย ให้เกิดเลือด พลัง การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้เกิดความร้อนความชื้น ทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอ ซึ่งจะทำให้เกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

๕. คนที่เป็นโรคหัวใจ โรคไต หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะรสเค็มทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า เป็นภาระต่อหัวใจในการทำงานหนักเพิ่มขึ้น ทำให้ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ขณะเดียวกัน อาหารที่มีรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนทำให้ต้องสูญพลังงานมาก และหัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้น โดยสรุปคือ ต้องลดการทำงานของหัวใจและไต โดยไม่เพิ่มปัจจัยต่างๆที่เป็นโทษเข้าไป

๖. คนที่เป็นโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน หรืออาหารประเภทแป้งที่มีแคลอรีสูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ฯลฯ แนะนำอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด ฯลฯ

๗. คนที่นอนหลับไม่สนิท ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน เพราอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือทำให้หลับไม่สนิท

๘. คนที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภท กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้มีความร้อนในตัวสะสมมาก ทำให้ท้องผูก ทำให้เส้นเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

๙. คนที่มีอาการลมพิษ ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นโรคหอบหืด ควรเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ ผลิตภัณฑ์นมหรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ รวมทั้งรสเผ็ด เพราะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นและทำให้มีอาการผื่น ผิวหนังกำเริบ

๑๐. คนที่เป็นสิว หรือมีการอักเสบของต่อมไขมัน ควรงดอาหารเผ็ดและอาหารมัน เพราะทำให้สะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด (ควบคุมผิวหนัง ขนตามร่างกาย) ทำให้เกิดสิว

หลักการทั่วไป ต้องหลีกเลี่ยงอาหารดิบๆ สุกๆ มีคุณสมบัติที่เย็นมาก ขณะเดียวกันอาหารที่ผ่านกระบวนการมาก อาหารที่ย่อยยาก อาหารทอดมันๆ อาหารรสเผ็ดจัด เหล้า บุหรี่ ฯลฯ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงภาวะเจ็บป่วยหรือขณะพักฟื้น เป็นภาวะระบบการย่อยดูดซึม (กระเพาะอาหารและม้าม) ทำงานไม่ดี การได้อาหารที่เย็นหรือย่อยยากจะทำให้การย่อย การดูดซึมมีปัญหามากขึ้น ทำให้ขาดสารอาหารมาบำรุงเลี้ยงร่างกาย และต้องสูญเสียพลังเพิ่มขึ้นในการทำงานของระบบย่อย อาหารเผ็ด เหล้า และบุหรี่ มีฤทธิ์กระตุ้นและเพิ่มความร้อนในร่างกายทำให้มีการใช้พลังงานมากโดยไม่จำเป็น

อาหารแสลงในทัศนะแพทย์แผนจีน คือ อาหารที่ไม่เย็น (ยิน) หรืออาหารที่ไม่ร้อน (หยาง) จนเกินไป กล่าวคือต้องไม่ดิบ (ต้องทำให้สุก) และต้องไม่ผ่านกระบวนการที่ทำให้เกิดคุณสมบัติร้อนมากเกินไป (ทอด ย่าง ปิ้ง เจียว ผัด) เพราะสุดขั้วทั้งสองด้านก็ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย

อาหารดิบ ไม่สุก :

ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก ทำให้เสียสมรรถภาพการย่อยดูดซึมอาหารตกค้าง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด ขาดสารอาหาร

อาหารร้อนเกินไป :

ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก มีความร้อนความชื้นสะสม เกิดความร้อนใน ร่างกายมากเกินไป ไปกระทบกระเทือนอวัยวะอื่นๆ เช่น กระทบปอด ลำไส้ ทำให้ท้องผูก เจ็บคอ ปากเป็นแผล กระทบตับ ทำให้ความดันสูง ตาแฉะ อารมณ์หงุดหงิด กระทบไต ทำให้ปวดเมื่อยเอว ผมร่วง ฯลฯ

อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด

จะได้สารและพลังจากธรรมชาติมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ความเห็นในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แนะนำให้กินผักสด ผลไม้สด ซึ่งไม่น่าขัดแย้งกัน เพราะเทคนิคการทำอาหารของจีน ต้องไม่ให้ดิบ และสุกเกินไป เพื่อดูดซับสารและพลังจากธรรมชาติให้มากที่สุด ดิบเกินไปจะทำให้เกิดพิษจากอาหาร สุกเกินไปทำให้เสียคุณค่าอาหารทางธรรมชาติ การเลือกกินอาหารที่ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและมีการปรุงแต่งที่มากเกินไปจะทำให้อาหารฮ่องเต้กลายเป็นอาหารชั้นเลวในแง่หลักโภชนาการ

การเลือกอาหารให้สอดคล้องเหมาะสม ไม่ใช่สูตรตายตัว แต่ต้องยืดหยุ่นพลิกแพลง และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาวะที่เป็นจริงของแต่ละบุคคล เวลา (เช่น ภาวะปกติ ภาวะป่วยไข้ กลางวัน กลางคืน ฤดูกาล) และสถานที่ (ภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อม) เพื่อให้เป็นธรรมชาติและยังประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

ข้อมูล : facebook นิตยสารหมอชาวบ้าน

วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

รักษาชีวิตไว้ให้ดี


สังคมในยุคนี้ ....
ผู้หญิง.... ถ่ายหน้าอก
ผู้ชาย .....ถ่ายรถ โชว์ลงเฟส
ใคร ?? จะไปรู้ว่า ...
อกนั้น ! .... ปลอม หรือ จริง
รถนั้น ! .....เป็นของเขา หรือของใคร ?
สัตว์ .... เริ่มสวมใส่เสื้อผ้า เหมือนกับ คน
คน ... เริ่มอวดเนื้อหนังเหมือนกับ สัตว์

เด็ก .... ทำตัวแก่แดดเหมือน ผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่ ... ทำตัวแอ๊บแบ๊วเหมือนกับ เด็ก

ผู้หญิง .... ทำตัวห้าวเป็นเหมือน ผู้ชาย
ผู้ชาย ..... ทำตัวมุ้งมิ้งเหมือน ผู้หญิง

คนจน .... ทำรวยเป็น เศรษฐี
คนรวย ....ทำจนเหมือน ยาจก

เถ้าแก่ .... แต่งตัวเหมือน ลูกจ้าง
ลูกจ้าง ....แต่งตัวเหมือน เถ้าแก่

พ่อแม่ .... เรียกลูกว่า พี่
ลูก ..........แทนตัวเองว่า น้อง

คนโสด .... ทำตัวเหมือน แม่บ้าน
แม่บ้าน .....ทำตัวเหมือนคน โสด
สักวันหนึ่ง ! ....
คุณจะเข้าใจ ใส่นาฬิกาเรือนละสามร้อย หรือสามหมื่น วันหนึ่ง ก็มี 24ชั่วโมงเหมือนกัน

ดื่มเหล้าแก้วละสามสิบ หรือแก้วละสามพัน ....... ก็อ๊วกออกมาเหมือนๆกัน !

อยู่บ้านกว้าง 30 ตารางเมตร หรือ 300 ตารางวา ...... ความโดดเดี่ยว ก็ไม่ต่างกัน !

สูบบุหรี่มวนละสิบบาท หรือมวนละร้อย ....... ก็เป็นมะเร็งปอดเหมือนกัน

#สักวันหนึ่ง .....
คุณก็จะเข้าใจ ความสุขในจิตใจ ไม่มีทางหาได้จาก วัตถุภายนอก
เพราะฉะนั้น ! จงรู้พอใจ พอมี พออยู่ พอเพียง จึงได้มีความสุข .....

ใช้ชีวิตอยู่กับใครนั้น ! สำคัญมาก ....
ใครอยู่กับเราตลอดไปนั้น ! หาได้ยากยิ่งกว่า !!

คนในโลกใบนี้ มีตั้ง 7.2 พันล้านคน ที่เราได้มารู้จักกัน มาอยู่ร่วมกัน
หากไม่ถนอมรักษา ก็น่าเสียดาย ! ...

#เก็บรักเก็บมิตรภาพดีๆกันไว้บ้าง !
ก่อนที่มันจะเหือดแห้งหายไป .....
..... จนเหลือเป็นเพียงแค่ เรื่องเล่า…

credit : เพจอยากเล่าบอกต่อ

วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

วิธีทำกายภาพมือ ป้องกันนิ้วล็อคถาวร


“มือ” ถือได้ว่าเป็นอวัยวะสำคัญที่ต้องมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งของ หรือใช้งานในกิจกรรมอื่นๆ ทั้งเด็กที่จะต้องใช้มือในการเขียนหนังสือ ผู้ใหญ่คนทำงานที่ต้องใช้มือกับแป้นพิมพ์ เขียนงานเอกสาร หรือใช้ในงานด้านต่างๆ ตลอดจนแม่บ้านที่ทำงานบ้าน ซักผ้าบิดผ้า หิ้วถุงจ่ายตลาด

ภาวะนิ้วล็อค เป็นกลุ่มอาการหนึ่งที่เกิดกลุ่มคนที่ใช้มือในการทำงานอย่างหนัก ก็จะพบว่ามีอาการเจ็บและมีเสียงดังกึก ทำให้เส้นเอ็นไม่โก่งตัวออกเมื่องอนิ้ว แต่เมื่อมีการอักเสบเส้นเอ็นจะบวมและหนาตัว ทำให้ลอดผ่านห่วงลำบาก จึงรู้สึกเจ็บและเกิดอาการนิ้วล็อคตามมา ส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะแม่บ้าน ส่วนในผู้ชายมักจะพบในผู้ที่มีอาชีพที่ต้องใช้มือหนักๆ เช่น พนักงานพิมพ์ดีด นักกอล์ฟ

โดยส่วนใหญ่เกิดในผู้หญิงอายุ 45 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะแม่บ้านที่ใช้มือทำงานอย่างหนัก เช่น หิ้วตะกร้าจ่ายกับข้าว ชอปปิ้ง บิดผ้า ส่วนในผู้ชายมักพบในอาชีพที่ใช้มือทำงานหนักๆ มีการจับ ออกแรงบีบอุปกรณ์ซ้ำๆ เช่น คนทำสวนใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้ ช่างที่ใช้ไขควงหรือเลื่อย พนักงานพิมพ์ดีด นักกอล์ฟ ช่างงานฝีมือ นักยูโด และหมอนวดแผนโบราณเป็นต้น

ในแต่ละกิจกรรมจะใช้งานแต่ละนิ้วไม่เหมือนกัน จึงทำให้เกิดนิ้วล็อคที่ตำแหน่งนิ้วต่างกันด้วย เช่น อาชีพครู หรือนักบริหาร มักเป็นนิ้วล็อคที่นิ้วโป้งขวา เพราะใช้เขียนหนังสือมาก และใช้นิ้วโป้งกดปากกานานๆ ส่วนแม่บ้านซักบิดผ้า มักเป็นที่นิ้วชี้ซ้ายและขวา แต่ทั้งนี้ภาวะดังกล่าวไม่มีอันตรายใดๆ เพียงแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด เป็นโรคที่สามารถป้องกัน และรักษาให้หายได้ ถ้ารู้จักวิธีดูแลตนเองอย่างถูกต้อง

ในระยะแรกจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ กำมือไม่ถนัด หรือกำได้ไม่เต็มที่โดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน พอใช้มือไปสักพักก็จะกำมือได้ดีขึ้น เวลางอที่จะเหยียดนิ้วมือมักจะได้ยินเสียงดังกึก ต่อมาจะมีอาการนิ้วล็อค คือ เวลางอนิ้วจะเหยียดขึ้นเองไม่ได้ มักเกิดกับมือข้างถนัดที่ใช้งาน ซึ่งอาจเป็นเพียงนิ้วเดียว หรือเป็นพร้อมกันหลายนิ้วก็ได้ บางรายอาจรุนแรงถึงนิ้วบวมชา ติดแข็งจนใช้งานไม่ได้

วิธีทำกายภาพมือแบบง่ายๆ ก่อนจะเป็นนิ้วล็อคถาวร

1. ยืดกล้ามเนื้อแขน มือ นิ้วมือ โดยยกแขนระดับไหล่ ใช้มือข้างหนึ่งดันให้ข้อมือกระดกขึ้น-ลง ปลายนิ้วเหยียดตรงค้างไว้ นับ 1-10 แล้วปล่อยทำ 6-10 ครั้ง/เซต

2. บริหารการกำ-แบมือ โดยฝึกกำ-แบ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อนิ้วมือ และกำลังกล้ามเนื้อภายในมือ หรืออาจถือลูกบอลในฝ่ามือก็ได้ โดยทำ 6-10 ครั้ง/เซต

3. ท่าเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อที่ใช้งอ-เหยียดนิ้วมือ โดยใช้ยางยืดช่วยต้าน แล้วใช้นิ้วมือเหยียดอ้านิ้วออก ค้างไว้ นับ 1-10 แล้วค่อยๆ ปล่อย ทำ 6-10 ครั้ง/เซต

วิธีลดความเสี่ยงการเป็นนิ้วล็อค

1. ไม่หิ้วของหนักเกินไป ถ้าจำเป็นต้องหิ้วให้ใช้ผ้าขนหนูรอง และหิ้วให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือ อาจใช้วิธีการอุ้มประคองหรือรถเข็นลากแทน เพื่อลดการรับน้ำหนักที่นิ้วมือ

2. ควร ใส่ถุงมือ หรือห่อหุ้มด้ามจับเครื่องมือให้นุ่มขึ้นและจัดทำขนาดที่จับเหมาะแก่การใช้งาน ขณะใช้เครื่องมือทุ่นแรง เช่น ไขควง เลื่อย ค้อน ฯลฯ

3. งานที่ต้องใช้เวลาทำงานนานต่อเนื่อง ทำให้มือเมื่อยล้า หรือระบม ควรพักมือเป็นระยะๆ และออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อมือบ้าง

4. ไม่ขยับนิ้วหรือดีดนิ้วเล่น เพราะจะทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากยิ่งขึ้น

5. ถ้ามีข้อฝืดตอนเช้า หรือมือเมื่อยล้า ให้แช่น้ำอุ่นร่วมกับการขยับมือกำแบเบา ๆ ในน้ำ จะทำให้ข้อฝืดลดลง

กลุ่มอาชีพที่เสี่ยงต่อการเป็นนิ้วล็อค (Mix Magazine)

โรคนิ้วล็อค

เป็นโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อและกระดูก ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยกับทุกเพศทุกวัย แต่จะส่วนใหญ่จะพบได้มากในกลุ่มคนวัยทำงาน โรคนี้ไม่ได้เกิดอันตรายถึงชีวิต แต่หากใครก็ตามที่เป็นโรคนี้แล้ว มือของคุณจะไม่สามารถกลับมาใช้งานได้เต็ม 100 % เพราะจะทั้งเจ็บปวด ทั้งน่ารำคาญ ไม่สามารถหยิบจับอะไรได้สะดวก แถมต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อจะได้ไม่เกิดการผิดพลาดในการหยิบจับ ส่วนสาเหตุของการเกิดนิ้วล็อคนั้นก็จะมาจากการทำงานที่ต้องใช้นิ้วซ้ำๆ กันบ่อยๆ ทำให้นิ้วเกิดการเกร็ง ซึ่งจะทำให้ ปลอกหุ้มเอ็นอักเสบ จนสุดท้ายก็นำไปสู่การเป็นภาวะนิ้วล็อคได้

อาชีพอะไรบ้างที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ้วล็อค

1. นักกอล์ฟ (Golfer)

นักกอล์ฟส่วนใหญ่จะพบว่าตัวเองมีอาการเป็นนิ้วล็อค สาเหตุก็เพราะนักกอล์ฟที่ตีกอล์ฟ และ ทำการฝึกซ้อมมากๆ เป็นเวลานานๆ การเกร็งมือจับไม้กอล์ฟไว้แน่นๆ การออกแรงสวิงมากเกินไป และการหวดวงสวิงซ้อมติดต่อกันทุกๆ วัน ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลทำให้เกิดการอักเสบของปลอกหุ้มเอ็นที่ข้อนิ้วมือ ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดนิ้วล็อคก็คือ การเลือกไม้กอล์ฟที่หนักเกินกำลังของวงแขนและมือ โดยส่วนใหญ่ท่านนักกอล์ฟจะเลือกไม้ที่มีความหนัก เช่น ไม้กอล์ฟก้านเหล็กที่ความแข็งของก้านตั้งแต่ 5.5 – 6.5 ขึ้นไป เพื่อหวังระยะในการตีแต่ละครั้ง ทุกครั้งที่หวดซ้อมลูกและโดนลูกไม่เต็มใบ แรงสั่นหรือแรงช็อคของไม้จะส่งถึงมือและข้อนิ้วโดยตรงเป็นเหตุให้เกิดโรคนิ้วล็อคในระยะยาว

2. หมอนวดแผนโบราณ (Massager)

นวดแผนโบราณเป็นอาชีพที่ต้องใช้กำลังจากนิ้วมืออย่างมากที่สุด คนที่จะทำการนวดได้จะต้องเป็นคนที่มีพลังจากแรงกดของมือค่อนข้างหนักมาก โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่โป้ง ข้อนิ้วมือแรกและหลังข้อนิ้วที่สอง เพราะต้องใช้นิ้วเหล่านี้ทำการกดบีบ ตัดเส้นให้กับลูกค้าที่มีอาการเส้นตึงทั้งหลาย โดยเฉพาะการนวดเท้าซึ่งผู้ที่มีเท้าแข็งและหนา คนที่นวดจึงต้องออกแรงใช้นิ้วมือนวดอย่างมาก แม้ว่าจะมีไม้นวดเท้าออกมาช่วย แต่อาชีพนวดแผนโบราณนั้น ก็ยังคงเสี่ยงต่อการเกิดนิ้วล็อคอยู่ดี เพราะไม่ใช่แค่ส่วนเท้าอย่างเดียวที่ต้องนวด แต่หมายถึงทั้งร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าที่มือต้องทำหน้าที่บีบนวดคลายเส้น

3. ช่าง (Craftsman, Mechanic)

อาชีพช่างนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องใช้มืออย่างหนัก เพราะต้องอยู่กับเครื่องมือที่ต้องใช้แรง โดยเฉพาะงานอย่างช่างฝีมือหรือช่างเครื่อง ที่วัน ๆ ต้องอยู่กับไขควง ประแจ สิ่ว กบไสไม้ ขวาน หรือค้อนต่าง ๆ ยิ่งงานใดที่ต้องการความประณีต ละเอียดอ่อน ยิ่งทำให้มือต้องใช้งานหนักมากยิ่งชึ้น ซึ่งนั่นก็หมายถึงความเสียหายที่มือจะต้องได้รับนั่นเอง ยิ่งใช้งานอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการพัก ก็จะทำให้เกิดอาการนิ้วล็อคขึ้นได้

4. นักยูโด (Judo, Jujitsu)

นักยูโดก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ต้องฝึกฝนกำลังข้อมือกำลังแขน และกำลังนิ้วเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะได้มีความแข็งแรงมากพอที่จะจับคู่ต่อสู้ทุ่มลงไปนอนกับพื้นได้ ซึ่งนักยูโคต้องใช้มือกำตรงชายเสื้อชุดยูโด (กิ) แล้วฉุดกระชากดึงในท่วงท่าที่หลากหลายรูปแบบเพื่อให้คู่ต่อสู้เสียหลัก ซึ่งบางครั้งคู่ต่อสู้บิดตัวทำให้ชายเสื้อม้วนรัดที่กำปั้นและข้อมือ ซึ่งทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ กีฬายูโดเป็นกีฬาที่ต้องใช้กำลังนิ้วติดต่อกับเป็นเวลานานไม่ว่าจะเป็นในเวลาแข่งหรือในเวลาซ้อม อีกทั้งนักยูโดจะฝึกกำลังนิ้ว ด้วยการนำเอายางในจักรยานมาผูกเข้ากับเสา แล้วดึงขึ้นลงอยู่ตลอดทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคนิ้วล็อคได้มากกว่าอาชีพอื่น ๆ

5. แม่บ้าน (Housewife)

อาชีพแม่บ้านเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นนิ้วล็อค ซึ่งหากเราดูกันอย่างผิวเผินแล้วจะคิดว่าอาชีพนี้ไม่น่าจะเกิดอันตรายกับนิ้วมือได้ แต่คุณอย่าลืมว่าอาชีพแม่บ้านนั้น งานหลักที่ต้องทำคือทำงานในบ้าน ไม่ว่าจะทำกับข้าว จ่ายตลาด ทำความสะอาดบ้าน แต่ในทุกรายละเอียดของการทำงานนั้นเต็มไปด้วยสภาวะที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ้วล็อคไดเทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตอนที่หิ้วตะกร้าหรือหิ้วถุงเดินตลาด การทำกับข้าวที่ต้องใช้แรงผัด แรงกวน หรือการซักผ้า บิดผ้า ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดนิ้วล็อคได้ทั้งสิ้นตลอดเวลาในการทำงาน ที่สำคัญอาชีพแม่บ้านนั้นไม่เคยมีวันหยุด จะต้องทำซ้ำๆ แบบนั้นอยู่ทุกๆ วันปัจจุบันนี้จึงจะพบว่าแม่บ้านเป็นจำนวนมาก ที่จะป่วยเป็นโรคนิ้วล็อคอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://นิ้วล็อค.com

วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ใครรวยกว่ากัน


...สตรี 4 คนเจอกันงานเลี้ยงรุ่น หลังจากไม่เจอกันมาถึง 30 ปี...

...เพื่อนคนหนึ่งออกไปตักอาหาร ขณะที่สามคนเริ่มพูดถึง ความสำเร็จของลูกชาย...

...คนหนึ่งบอก ลูกชายจบเศรษฐศาสตร์ ทำงานเป็นนายธนาคาร ร่ำรวยมาก
เขาเพิ่งซื้อรถเฟอร์รารี ให้แฟนเป็นของขวัญวันเกิด...

...คนที่สองคุยว่า ลูกชายเป็นนักบิน มีสายการบินของตัวเอง ร่ำรวยมาก
สัปดาห์ก่อนซื้อเครื่องบินเจ็ท ให้เป็นของขวัญวันเกิดแฟนเหมือนกัน...

...คนที่สามบอกว่า ลูกชายจบวิศวกรรม มีบริษัทของตนเอง ร่ำรวยมาก
เพิ่งยกคฤหาสน์ ให้ไปเป็นของขวัญวันเกิดแฟน...

...คุณแม่คนแรกกลับมาที่โต๊ะ พร้อมอาหารที่ตักมาเต็มจาน ถามเพื่อนว่า กำลังเมาท์อะไรกัน...

...คุณแม่ทั้งสามบอกว่า กำลังพูดถึง ความสำเร็จของลูกๆ แล้วถามถึงลูกของเพื่อนคนแรก...

...หล่อนอึ้งไปชั่วอึดใจ ก่อนบอกว่า ลูกชายเป็นเกย์ ทำงานบาร์เกย์...

...ทั้งสามพูดว่า ลูกคงทำให้เธอผิดหวัง ที่ไม่ประสพความสำเร็จในชีวิต...

..."โอ้...ไม่หรอก จะว่าไปมันก็โอเคนะ วันเกิดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
มันได้รับรถเฟอร์รารี่ เครื่องบินเจ็ท และคฤหาสน์ จากผัวมันทั้งสามคน"...

...คุณแม่ทั้งสามเป็นลม หงายตึงไปเลยในทันที.

วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ฟิตเตรียมความพร้อมก่อนก้าวเดิน



หลายๆคนเข้าใจตรงกันว่า "การเดิน" เป็นการออกกำลังกายที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย แถมยังเหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย ขอเพียงแค่ฟิตร่างกายให้พร้อมก็ออกเดินได้ทันที แต่จริงๆแล้วการเดินให้ถูกวิธีก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมเช่นเดียวกัน

ก่อนเดิน เราต้องเตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสม และรองเท้าที่ยืดหยุ่น กระชับเท้าแลำน้ำหนักเบา ซึ่งจะช่วยให้คุณได้เดินอย่างมั่นใจและย่ำเท้าได้ไกลขึ้น เพราะสามารถป้องกันการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นกับข้อเท้า จากนั้นควรยืดเหยียดกล้ามเนื้อประมาณ 5 - 10 นาที

ก่อนเริ่มเดิน สำหรับท่าเดินที่ถูกต้องและเหมาะสมนั้น ศีรษะและลำตัวต้องตรง ตามองไปข้างหน้า งอข้อศอกประมาณ 90 องศา พร้อมกำมือหลวมๆ และในขณะที่เดินให้แกว่งแขน ก้าวขาด้วยจังหวะที่เหมาะสม โดยให้ใช้แรงเหวี่ยงจากสะโพกในการก้าวขาไปข้างหน้า และให้ลงน้ำหนักที่ส้นเท้าก่อนถ่ายน้ำหนักลงเต็มฝ่าเท้า ยกส้นเท้าขึ้นถ่ายน้ำหนักสู่ปลายเท้าก่อนยกเท้าก้าวไป ห้ามเดินก้มหน้า หรือเดินเอียงตัวไปข้างหน้ามากกว่า 5 องศา และไม่ควรเดินเกร็งไหล่ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ส่วนใครที่ต้องการเดินให้เร็วขึ้นก็สามารถทำได้ด้วยการก้าวเท้าให้ยาวกว่าปกติ แต่ต้องไม่ยาวเกินไปเพราะจะทำให้บาดเจ็บที่สะโพกหรือขาได้

ที่มา : กรมอนามัย